วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้



สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้


          วันนี้เราเปลี่ยนบรรยากาศมาอ่านประวัติศาสตร์จีนกันบ้างน่ะค่ะ และเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งของจีน นั่นคือ สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ 
         
          สุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ ตั้งอยู่ทางด้านเหนือของเชิงเขาลี่ซัน อำเภอหลินถง ห่างจากตัวเมืองซีอาน เมืองเอกของมณฑลส่านซีไปทางทิศตะวันออก 35 กิโลเมตร เบื้องหน้าเป็นแม่น้ำเว่ย
นักโบราณคดีจีนเชื่อว่า อาณาเขตของสุสานทั้งสิ้น 8 ตารางกิโลเมตรนี้ แบ่งออกเป็น พระราชฐานชั้นนอกและชั้นใน ซึ่งนอกจากจะบรรจุพระศพของจักรพรรดิแล้ว ยังได้ฝังสมบัติ ข้าวของเครื่องใช้ในช่วงยังมีพระชนม์ชีพ ตลอดจนนางสนมกำนัล กองทหาร และสัตว์ใหญ่ไปพร้อมกัน เพื่อร่วมในการเดินทางครั้งสุดท้ายของจักรพรรดิจิ๋นซี

          สุสานของจักรพรรดิจิ๋นซี มีขนาดความสูง50 เมตร ความยาวโดยรอบ 3,000 เมตร ตามบันทึกในต้นราชวงศ์ฮั่น โดยนักประวัติศาสตร์ ซือหม่าเชียน พรรณนาว่า "โลงศพของจักรพรรดิจิ๋นซีหล่อขึ้นด้วยทองแดง ตั้งอยู่ ณ โถงใจกลางสุสาน ที่ก่อสร้างและประดับประดาด้วยเพชรนิลจินดาราวกับพระราชวังใต้ดิน เพดานเลี่ยมไข่มุก และเพชรเป็นรูปพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว กับอัญมณีที่ประดับบนพื้นโถงทางเดินเป็นรูปสายน้ำ ทะเลสาบ และทะเล..เป็นเสมือนตัวแทนของสวรรค์และพิภพ สว่างไสวด้วยตะเกียงน้ำมัน ปลาวาฬ เพื่อความเป็นอมตะ และกับดักเกาทัณฑ์ที่พร้อมจะปลิดชีพผู้บุกรุก ทุกเมื่อ" บันทึกนี้อาจเป็นหลักฐานชิ้นเดียวที่บอกเล่าถึงสภาพภายในมหาสุสาน ที่มีอายุใกล้เคียงช่วงเวลานั้นที่สุด ที่นักโบราณคดีจีนเชื่อว่า เชื่อถือได้ และใต้ผืนดินในอาณาบริเวณรอบนอกสุสานที่บรรจุพระศพนี้ คือทัพทหารที่ถวายการอารักขาองค์จักรพรรดิเมื่อสวรรคตแล้ว

       
          เมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1974 ชาวนาหมู่บ้านซีหยัง ขุดพบซากดินเผาชิ้นส่วนร่างกายมนุษย์ ขณะกำลังขุดบ่อน้ำที่ลึก 3 เมตร ห่างจากสุสานจักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ไปทางตะวันออก 1.5 กิโลเมตร หลังจากผ่านความพยายามของนักโบราณคดี จึงได้ค้นพบกองทหารดินเผาของสุสานจิ๋นซีที่ฝังอยู่ใต้ดินมากว่า 2,000 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ค.ศ.1979 พิพิธภัณฑ์รูปปั้นทหารม้าของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี เปิดให้สาธารณชนเข้าชมอย่างเป็นทางการ ได้รับการโจษขานเป็น "สิ่งมหัศจรรย์ของโลกลำดับที่ 8 แห่งศตวรรษที่ 20" กระทั่งเดือนธันวาคม ค.ศ. 1987 องค์การยูเนสโกลงมติให้เป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม จนถึงปัจจุบัน ได้ขุดหลุมบรรจุรูปปั้นทหารม้าทั้งหมด 3 หลุม

          หลุมที่ 1 ปรากฏกองทัพใต้ดินอันทรงพลานุภาพ ประกอบด้วยหุ่นทหารติดอาวุธกว่า 6,000 ตัว รวมถึงหุ่นม้า และรถศึก หุ่นดินเผาทหารและม้าศึกมีขนาดใหญ่เล็กเหมือนของจริง หุ่นทุกตัวมีสีหน้าและทรงผมเป็นลักษณะเฉพาะตัวแตกต่างกัน สูงราว 5 ฟุต 8 นิ้ว ถึง 6 ฟุต 5 นิ้ว ยืนตระหง่านเรียงรายเป็นหมวดหมู่ ในหลุมสุสานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดกว้าง 62เมตร ยาว 230 เมตร ลึก 5 เมตร นักโบราณคดีจีน ตั้งข้อสังเกตว่า กองทหารอารักขาสุสานของจักรพรรดิจิ๋นซีที่พบในหลุมนี้ มีแนวการจัดทัพตามบันทึกในตำราพิชัยสงครามซุนอู่ หรือ "ซุนวู"ที่คนไทยรู้จัก



          หลุมที่ 2 ห่างจากหลุมที่1 ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 20 เมตร พบในปี1976 พื้นที่ 6,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น4 ส่วน ขุดพบหุ่นดินเผาทหาร 1,000 ตัว ม้าศึก 400 ตัว และรถม้าทำจากไม้ 89 คัน เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเมื่อปี 1994

          ส่วนหลุมที่ 3 ห่างจากหลุมที่1 ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 25 เมตร พบในปี1976 ขนาด 520 ตารางเมตร พบหุ่นทหาร 68ตัว กับรถม้า 1 คัน และม้าศึก 4 ตัว รวมถึงกระดูกสัตว์และเขากวาง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเครื่องบูชายัญในพิธีศพ

          นักโบราณคดีคาดว่า หลุมที่ 3 นี้อาจเป็นกองบัญชาการกลางควบคุมกองทหาร ตามใบหน้าของรูปปั้นทหาร เสื้อเกราะและอาวุธที่ขุดพบมีสีทาไว้ แต่เมื่อนักโบราณคดี เปิดสุสานครั้งแรก อากาศภายนอกทำให้สีบนตัวหุ่นสลายไปใน เวลาอันรวดเร็ว หลุมที่ 3 เปิดให้สาธารณชนเข้าชมในปี 1989
รวมวัตถุโบราณที่ค้นพบในทั้ง3 หลุมแล้ว มีรูปปั้นทหารประมาณ 7,000 ตัว รถม้ากว่า 100 คัน รูปปั้นม้าศึกกว่า 400 ตัว และสรรพาวุธ ที่ใช้ในการสงครามกว่าหลายแสนชิ้นในหลุมทั้ง 3 แห่งที่มีเนื้อที่ทั้งหมด 22,780 กว่าตารางเมตรนี้



สนใจทัวร์ซีอาน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ซีอาน-ลั่วหยาง-CN40.aspx

ขอขอบคุณ ข้อมูล และภาพสวยๆ
1.รายการพาเที่ยวจีน (พิพิธภัณฑ์รูปปั้นทหารม้าของสุสานจักรพรรดิจิ๋นซี) http://thai.cri.cn
2.http://www.lovechineseclub.com/bingmayong
3.httpjakkapananpukdee.files.wordpress.com
4.httpwww.dealfish.co.th
5.httpwww.manager.co.thTravel
6.http://www.oceansmile.com

วันศุกร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตำนานเดชนางพญางูขาว





ตำนานเดชนางพญางูขาว


          ถ้าพูดถึงประเทศจีน ถือเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่แพ้ชาติใดเลยในโลก จากหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่าง ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดัง ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะรู้จักดี อาทิเช่น กำแพงเมืองจีน ที่มีความยาวที่สุดในโลก ฯลฯ
          แต่ครั้งนี้ไม่ได้มาเล่าประวัติศาสตร์จีนให้ฟังกันค่ะ แต่จะมาเล่าตำนาน ที่เป็นที่โด่งดัง พอๆ กับ ประตูสวรรค์ จางเจียเจี้ย สถานที่ถ่ายทำหนัง เรื่องอวตารค่ะ นั่นคือ ทะเลสาบซีหู
ทะเลสาบซีหู คือไข่มุกแห่งเมืองหังโจว ทางภาคตะวันออกของจีน ทั้งสามด้านของทะเลสาบล้อมรอบด้วยภูเขา น้ำในทะเลสาบใสสะอาดงดงาม เขื่อนไป๋และเขื่อนซู เสมือนเข็มขัดเขียวสองเส้นลอยอยู่ในทะเลสาบ เป็นเขื่อนดินยาวสองเขื่อนที่ตั้งชื่อตามนามสกุลของซูตงโพและไป๋จวีอี้ กวีผู้มีชื่อเสียงของจีน ทะเลสาบซีหู มีทิวทัศน์สวยงามตลอดปี เป็นที่จับใจของกวีและนักประพันธ์ทุกยุคทุกสมัย 
          เมื่อพูดถึงทะเลสาบซีหู ผู้คนจะนึกถึง”ทิวทัศน์ 10 อย่างในทะเลสาบซีหู”ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก นั่นก็คือ วสันตฤดูในเขื่อนซูตี สระบัวชวีย่วน พระจันทร์ฤดูใบไม้ร่วงที่ทะเลสาบผิงหู หิมะประปรายบนสะพานขาด ฟังเสียงนกบนต้นหลิ่ว ชมมัจฉาที่ฮวากั่ง เสียงระฆังเย็นย่ำที่หนันผิงและยอดเขาคู่สูงเสียบเมฆ
          ทะเลสาบซีหู แห่งนี้ เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์เรื่อง นางพญางูขาว ซึ่งเป็นนิทานของจีนเกี่ยวกับทะเลสาบแห่งนี้ และตำนานมีอยู่ว่า 
          มีงูขาวตัวหนึ่ง บำเพ็ญตบะนับพันปี จนแปลงกายเป็นคนได้ ได้แปลงเป็นสตรีชื่อ “ไป๋เหนียงจื่อ” ผู้สวยงาม และมีงูเขียวอีกตัวหนึ่ง บำเพ็ญตบะเป็นเวลา 500 ปี แปลงตัวเป็นสาวน้อยน่ารัก “เสี่ยวชิง” ผู้มีชีวิตชีวา งูทั้งสองตัวนี้เป็นเพื่อนกัน และได้พากันไปเที่ยวทะเลสาบซีหู เมื่อเดินทางถึงสะพานขาด งูขาวได้พบเห็นนักศึกษาปัญญาชนที่สง่างามคนหนึ่งท่ามกลางหมู่คนจำนวนมาก เธอเกิดหลงรักเขาขึ้นมาทันที งูเขียวจึงร่ายเวทมนตร์ลับๆ ทำให้ฝนตกทันทีทันใด นักศึกษาโค้วเซียง นามว่า สวี่เซียน ถือร่มจะไปนั่งเรือในทะเลสาบ เห็นงูขาวกับงูเขียวถูกฝนสาด ท่าทางกระเซอะกระเซิง สวี่เซียน จึงเอาร่มให้พวกเธอกันฝน แต่ตนเองยืนอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ฝนสาดใส่ งูขาวเห็นสวี่เซียนเป็นคนซื่อ ก็ยิ่งรู้สึกรักเขามากขึ้น ส่วนสวี่เซียนก็หลงรักในความงามของงูขาว ด้วยความช่วยเหลือของงูเขียว สองคนจึงได้แต่งงานกัน และเปิดร้านขายยาในบริเวณทะเลสาบซีหู รักษาโรคให้กับผู้คน ทำให้ชาวบ้านยอมรับพวกเขาอย่างดี แต่ ฝ่าไห่ เจ้าอาวาสวัดจินซานตระหนักว่างูขาวเป็นปีศาจ จะมาทำลายมนุษย์ จึงไปบอก 
สวี่เซียน ว่า เมียของเขาเป็นงู และสอนวิธีตรวจสอบให้กับสวี่เซียนด้วย เขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เวลาผ่านไปไม่นานก็ถึงเทศกาลสารทจีน ชาวบ้านทั่วไปจะดื่มเหล้าชนิดหนึ่งที่ชื่อ สงหวงจิ่ว เพื่อขจัดเภทภัยสิ่งอัปมงคล สวี่เซียนทำตามคำสั่งของฝ่าไห่ บังคับไป๋เหนียงจื่อดื่มเหล้าชนิดนี้ เวลานั้น ไป๋เหนียงจื่อกำลังตั้งครรค์ แต่ปฏิเสธสวี่เซียนไม่ได้ หลังดื่มเหล้าแล้วก็กลายเป็นงูทันที สวี่เซียนตกใจจนสิ้นชีวิต เพื่อช่วยชีวิตสวี่เซียน ไป๋เหนียงจื่อไม่คำนึงว่าตนกำลังตั้งครรค์ เดินทางไกลนับพันลี้ ไปขโมยหญ้าหลินจือที่สามารถชุบชีวิตได้ที่ขุนเขาคุนหลุน นางต้องต่อสู้ กับทหารยามที่พิทักษ์รักษาหญ้าหลินจือ
อย่างไม่เห็นแก่ชีวิตตน ทหารยามรู้สึกชื่นชมมาก จึงมอบหลินจือแก่นางไป เมื่อสวี่เซียนกลับฟื้นขึ้นมาแล้ว รู้ว่าไป๋เหนียงจื่อรักตนเองจริงๆ ผัวเมียคู่นี้จึงรักกันยิ่งกว่าเดิม แต่ฝ่าไห่ยังไม่ยอมให้งูขาวอยู่ในโลกมนุษย์ เขาลวงสวี่เซียนให้เข้าไปในวัดจินซาน บังคับให้เขาบวช งูขาวกับงูเขียวโกรธมาก นำทหารสัตว์น้ำเข้าโจมตีวัดจินซาน อยากจะช่วยสวี่เซียนหนีออกจากวัด พวกนางร่ายเวทมนตร์ไม่หยุด ทำให้น้ำท่วมวัดจินซาน นั่นก็คือ น้ำท่วมจินซาน เรื่องราวเล่าขานที่มีชื่อเสียงในสมัยโบราณ แต่ฝ่าไห่ก็ได้แสดงพลังอย่างแรงกล้า ไป๋เหนียงจื่อครรภ์แก่จวนจะคลอด จึงสู้ฝ่าไห่ไม่ไหว เสี่ยวชิงพยายามช่วยไป๋เหนียงจื่อให้หนีไป พอหนีไปถึงสะพานขาด ก็พบกับสวี่เซียนที่หนีออกจากวัดจินซาน มาได้ สามีภรรยาคู่นี้หลังประสบภัยพิบัติได้กลับมาพบกันอีกที่สะพานขาด ซึ่งเป็นสถานที่ที่พบกันครั้งแรก รู้สึกสะเทือนใจมาก กอดคอกันร้องไห้อย่างน่าเวทนา ไป๋เหนียงจื่อเพิ่งจะคลอดลูกชาย ฝ่าไห่ก็ตามมาถึงอีกครั้ง และจับนางไปคุมขังไว้ใต้เจดีย์เหลยเฟิงในบริเวณทะเลสาบซีหูอย่างไร้ความปรานี และยังสาปไว้ว่า นอกจากน้ำทะเลสาบซีหูจะแห้งหมดและเจดีย์ล้มลงแล้วเท่านั้น นางจึงจะกลับสู่โลกมนุษย์ได้
          หลายปีต่อมา เสี่ยวชิงได้บำเพ็ญตบะจนแก่กล้า กลับมาทะเลสาบซีหูอีกครั้งและต่อสู้กับฝ่าไห่จนชนะ ได้สูบน้ำทะเลสาบซีหูจนเหือดแห้งและล้มเจดีย์เหลยเฟิงลง จึงได้ช่วยไป๋เหนีงจื่อออกจากเจดีย์ที่คุมขังได้ และครองรักคู่กันชั่วนิรันดร์ (ตอนจบแต่งขึ้นเองค่่ะ)
          บทความ บทต่อไปจะมาเล่าเรื่องอะไรให้ฟังกัน โปรดติดตามค่ะ











ขอบคุณข้อมูลจาก     www.oceansmile.com


ขอบคุณภาพจาก        www.guru-tour.com // new.goosiam.com





วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

อุทยานแห่งชาติหวงหลง (มังกรเหลือง)




อุทยานแห่งชาติหวงหลง (มังกรเหลือง)
          
          หากพูดถึง มังกร หลายท่านอาจคิดถึง ประเทศจีน เพราะมังกรถือเป็นนสัญลักษณ์ของประเทศจีน แต่ถ้าพูดถึง มังกรเหลือง ล่ะ จะคิดถึงอะไร มังกรตัวสีเหลือง หรือป่าว หลายคนก็หลากหลายความคิดเห็น แต่ไม่ได้บอกว่าความคิดของท่านผิด และวันนี้เราจะมาพูดถึง มังกรเหลือง อีกความหมายหนึ่ง ซึ่งคนทั่วไป (ที่ชอบท่องเที่ยว) อาจเข้าใจดี
          

          มังกรเหลือง ที่พูดถึงนี้ หมายถึง อุทยานแห่งชาติหวงหลง ตั้งอยู่ที่อำเภอซงพันในเขตปกครองตนเองของชนเผ่าทิเบตอาป้าและเผ่าเชียง ทางตอนเหนือของมณฑลซื่อชวน (เสฉวน) ของจีนติดต่อกับเขตอุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,340 ตารางกิโลเมตร บนความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 3,000 – 5,588 เมตร ประกอบด้วยหุบเขาหวงหลง ช่องแคบหว่างเขาตันหยุน สันเขาหิมะ ยอดเขาหิมะเส่ป่า ผางามหงซินหยง หุบเขาตะวันตกซีโกว หยดถ้ำมังกรติสุ่ย รวม 7 ส่วนด้วยกัน มีเนื้อที่ทั้งหมด 700 ตารางกิโลเมตร 
          

          ซึ่ง "หวงหลง" นั้นหมายถึง "มังกรเหลือง" มาจากชื่อของ "วัดหวงหลง" ที่ตั้งอยู่ในบริเวณเทือกเขาของอุทยาน หรือในอีกความหมายหนึ่งนั่นคือ จุดชมวิวที่สำคัญอยู่ที่หุบผามังกรเหลือง ซึ่งอยู่หลังวัด จะมีสระขนาดใหญ่เป็นขั้นบันได สลับกับน้ำสีเหลืองจากตะกอนแคลเซียมและเกสรดอกไม้ อยู่บนฉากหลังที่เป็นป่าสน เขาหิมะ น้ำตก ซึ่งเกิดจากธรรมชาติสรรสร้างอย่างวิจิตรพิสดาร เมื่อมองจากด้านบนจะเห็นลำธารสายนี้ แลประดุจเป็นรูปตัวมังกรสีเหลืองขนาดมหึมา (จากสีของผลึกแคลเซียมที่ใต้พื้นแอ่ง) ที่กำลังคะนองฤทธิ์เลื้อยลดคดส่วนหัวและหางผ่านเข้าไปในขุนเขาและป่าทึบ ส่วนลำตัวนั้นมลังเมลืองเป็นแอ่งน้ำน้อยใหญ่นับพันแห่ง มายังทอดเงาฉายสะท้อนเป็นประกายขึ้นอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเป็นยิ่งนัก จนได้ชื่อว่า "หวงหลง" (มังกรเหลือง) 
          "หวงหลง" ถูกจัดเป็นมรดกโลกในปี 1992 และต่อมาปี 2000 ก็ขึ้นทำเนียบเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์สัตว์ป่าของโลก และเขตท่องเที่ยว และได้ขึ้นอันดับเป็นจักรวาลสีเขียวแห่งศตวรรษที่ 21 ในปี 2002
เค้าบอกกันว่าที่หวงหลงนี่หุงข้าวจะไม่สุกนะคะ เพราะความเย็นของอากาศทำให้ไม่สามารถทำให้ความร้อนที่หุงข้าวไปถึงจุดที่ทำให้ข้าวสุกได้ ดังนั้นก็จะได้ข้าวที่ยังคงมีความดิบหลงเหลืออยู่ในเมล็ดข้าวบ้างค่ะ
          ที่ "หวงหลง" เค้าว่ากันว่าอากาศเบาบางมาก ให้ทำอะไรช้าๆ เดินช้าๆ ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดการแพ้ความสูงได้ แล้วก็แนะนำให้นำอ๊อกซิเจนกระป๋องติดไปด้วย ซึ่งมีขายทั่วไป ราคาไม่แพงเท่าไหร่ค่ะ
          ที่ "หวงหลง" ไม่ต้องเดินขึ้นก็ได้นะคะ มีกระเช้าให้นั่งขึ้นแล้วให้เดินลง แต่ถ้าคิดว่ามีเวลามากอยากเดินขึ้นเดินลงไม่ใช้บริการของกระเช้า....คิดผิดคิดใหม่ได้ค่ะ เพราะถ้าตัดสินใจแล้วไม่สามารถย้อนเวลาคืนได้ค่ะ....อิอิ

          และที่ "หวงหลง" นี่หุงข้าวจะไม่สุกนะคะ เพราะความเย็นของอากาศทำให้ไม่สามารถทำให้ความร้อนที่หุงข้าวไปถึงจุดที่ทำให้ข้าวสุกได้ ดังนั้นก็จะได้ข้าวจะยังคงมีความดิบหลงเหลืออยู่ในเมล็ดข้าวบ้างค่ะ
          หากมีเวลา หาโอกาสไป ทัวร์หวงหลง กันน่ะคะ แล้วจะรู้ว่ามังกรที่จีน สวยงามขนาดไหน พบกันใหม่ เรื่องต่อไปค่ะ



สนใจทัวร์จิ่วจ้ายโกว หวงหลง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์จิ่วจ้ายโกว.aspx


ขอบคุณข้อมูลจาก
1. www.oknation.net
2. www.extraholidays.net

ภาพสวยๆ จาก
1. www.doubleenjoy.com
2. www.bloggang.com


วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ภูเขาเทียนเหมินซาน

ภูเขาเทียนเหมินซาน หรือ ประตูสวรรค์ (อวตาร)

     หลายคนคงเคยดูหนังเรื่อง อวตาร กันแล้ว และคงประทับใจภาพสวยๆ ในหนังจนอดใจไม่ได้ที่จะอยากรู้ว่า ภูเขาฮัลเลลูยาห์แห่ง อวตาร สถานที่แห่งนี้มีตริงๆ บนโลกใบนี้ หรือแค่ภาพกราฟฟิกในภาพยนต์เท่านั้น วันนี้เราจะมาค้นหาความจริงกันค่ะ (อาจจะมาช้าไปหน่อยน่ะค่ะ เพราะหนังออกจากโรงไปตั้งเป็นปีแล้ว แต่เชื่อว่า ยังมีอีกหลายๆ คนที่ยังไม่รู้ค่ะ)
          สถานที่นี้คือ เขาเทียนเหมินซาน หรือที่คนทั่วไปเรียกว่า ภูเขาอวตาร อยู่ห่างจากเขตเมืองจางเจียเจี้ย เพียง 6 กิโลเมตร อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,518.6 เมตร เป็นภูเขาลือชื่อแห่งแรกที่ได้บันทึกไว้ในจดหมายเหตุประวัติศาสตร์ของเมืองจางเจียเจี้ย เนื่องจากหน้าผาสูงชันมีช่องโพรงลักษณะคล้ายประตูซึ่งก็ คือ ช่องหินเทียนเหมิน (ประตูสวรรค์) ที่มีทัศนียภาพแปลกมหัศจรรย์ และพบเห็นได้น้อยมากในโลกปัจจุบัน เดินทางขึ้นสู่เขาโดย นั่งกระเช้าขึ้น-ลง (กระเช้ามีความยาวถึง 7.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเพียง 40 นาที) เมื่อขี้นไปบนเขาท่านจะได้ชมความงามของภูเขานับร้อยยอดที่สูงเสียดฟ้า และชมเส้นทางขึ้นเขาที่มีโค้งถึง 99 โค้งจากบนกระเช้า ถึงจุดชมวิว เดินไปชม หน้าผาลอยฟ้า เพื่อพิสูจน์ความสวยงามของหน้าผาที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่ง พร้อมกับความเสียวของทางเดินกระจก ที่มีระยะทางประมาณ 60 เมตร สร้างอยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 1.4 กิโลเมตร ท่านจะได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ภายใต้ทางเดินกระจกทั้งหมด นอกจากยอดภูเขาสูงเสียดฟ้านับร้อยแล้ว ยังมี ถ้ำเทียนเหมินซาน หรือเรียกว่า ถ้ำประตูสวรรค์ ถ้ำเทียนเหมินซาน เป็น 1 ใน 4 ภูเขาที่สวยของจีน เหตุที่เรียกว่า  ประตูสวรรค์ เพราะภูเขาเกิดระเบิดขึ้นเองโดยธรรมชาติจนกลายเป็นช่องประตูขึ้น ช่องประตูนี้สูง 131.5 เมตร กว้าง 57 เมตร ลึก 60 เมตร และหากต้องการขึ้นถึงจุดสูงสุดของยอดเทียนเหมินซาน ท่านต้องเดินขึ้นบันไดอีก 999 ขั้น เพื่อที่จะได้เห็นช่องเขาประตูสวรรค์ และวิวทิวทัศน์ที่สวยดั่งสวรรค์จากช่องเขานี้ ทัวร์จางเจียเจี้ย เป็นอีกเส้นทางหนึ่งที่พลาดไม่ได้นะคะ






สนใจทัวร์จางเจียเจี้ย ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์จางเจียเจี้ย.aspx

ขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก www.doubleenjoy.com, play.kapook.com

วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไห่โหลวโกว


ไห่โหลวโกว

     ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสไปเที่ยวที่ประเทศจีน โดยการซื้อทัวร์ของบริษัททัวร์แห่งหนึ่ง จากการแนะนำของเพื่อน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง เนื่องจากการเดินทางไปเที่ยวยังประเทศจีน หากเดินทางไปเองจะค่อนข้างลำบาก เพราะคนจีนส่วนใหญ่ไม่สามารถพูด ฟัง ภาษาอังกฤษได้ ทำให้การสื่อสารค่อนข้างลำบาก นอกจากคนที่ไปเที่ยวจะพูดภาษาจีนได้
    
    เมื่อเดินทางถึงประเทศจีนแล้ว เจ้าหน้าที่ของบริษัททัวร์ หรือที่เรียกว่าหัวหน้าทัวร์ พร้อมไกด์ท้องถิ่น สามารถพูดภาษาไทย ได้พาไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ในประเทศจีน ตามโปรแกรมทัวร์ของบริษัทฯ การเดินทางส่วนใหญ่จะใช้เป็นรถมินิบัส หรือรถบัส ขึ้นอยู่กับจำนวนของคณะทัวร์ที่เดินทาง จากที่ได้เที่ยวมาหลายๆ ที่ มีสถานที่เที่ยวอยู่แห่งหนึ่งซึ่งประทับใจมาก สวยงาม แปลกตา หาดูยาก หรืออาจหาดูที่ไหนไม่ได้นอกจากที่ประเทศจีน คือ อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว
จากคำบรรยายของไกด์ท้องถิ่น จับใจความได้ว่าที่ อุทยานแห่งชาติธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวจีน และนักท่องเที่ยวทั่วไป แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนักสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย
     อุทยานธารน้ำแข็งไห่โหลวโกว นี้เป็นธารน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากการละลายของหิมะ ทางด้านตะวันออกของ ภูเขากังก่า (Gongga Mountain) ซึ่งเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในมณฑลเสฉวน ที่มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 7,556 เมตร ทอดยาวไปจนจรดกับอุทยานสี่ดรุณี ใกล้ๆ กับอุทยานสวรรค์จิ่วจ้ายโกว ได้รับสมญานามเป็นราชาแห่งภูเขาเลยทีเดียว
    
     ไห่โหลวโกว เป็นชื่อภาษามุหยา ซึ่งมีความหมายว่าที่พักในเนินเขา มุหยาเป็นชนเผ่าดั้งเดิมที่อาศัยที่นี่และเคยเจริญรุ่งเรืองในประวัติศาสตร์ บริเวณนี้เป็นเขตย่านรอบตะเข็บในการตั้งถิ่นฐานระหว่างชนชาติทิเบตกับชนชาติ ฮั่นและเป็นเขตรอยต่อระหว่าง เขตเลี้ยงปศุสัตว์กับเขตการเกษตร ในกระบวนการที่ วัฒนธรรมของชาวปศุสัตว์และวัฒนธรรมข้าวชาวฮั่นเกิดความขัดแย้งและผสมกลมกลืน จนได้ยกระดับ และพัฒนาเป็นวัฒนธรรมชายขอบที่มีสีสันเข้มข้น เท่าที่จำได้ ประมาณนี้ค่ะ
   
    
     ยอดเขาสูงเหล่านี้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะตลอดชั่วนาตาปี เมื่อมีหิมะบางส่วนละลายไหลลงจากยอดเขาสู่เส้นทางเบื้องล่างก็จับตัวกันเหมือนม่านน้ำแข็ง โพรงน้ำแข็งเป็นธรรมชาติที่แปลกตา การเดินทางไปทัวร์ไห่โหลวโกว นี้จะต้องนั่งรถขึ้นเขาสูง ผ่านป่าสนที่เก่าแก่สัมผัสกับธรรมชาติที่บริสุทธิ์ไปตลอดทางก่อนจะไปต่อด้วยกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปอีกทีเพราะจากเบื้องล่างจะเห็นแค่เพียงยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเท่านั้น สำหรับนักท่องเที่ยวบางคนที่ใจถึงหน่อยก็สามารถเดินขึ้นเขาไปชมเองก็ได้ แต่กว่าจะไปถึงปลายธารน้ำแข็ง ต้องใช้เวลาเดินถึง 5- 6 ชั่วโมง ระหว่างทางที่อยู่บนเขากระเช้า มองลงมาจะเห็นกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินกันอยู่บนธารน้ำแข็งเบื้องล่าง ดูน่าหวาดเสียวไม่น้อย เพราะใกด์จีนเล่าให้ฟังว่าเคยมีคตกลงไปในร่องธารน้ำแข็ง ซึ่งมีลักษณะเป็นโพรงแล้วหายไปเลยมานักต่อนักแล้ว แต่ก็ยังคงมีคนใจกล้าบ้าบิ่นท่องเที่ยวแบบนี้อยู่ ธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่เรามองเห็นอยู่เบื้องหน้ามีลักษณะเหมือนน้ำตกขนาดใหญ่ที่พุ่งออกมาจากหุบเขาไหลไปเป็นทาง เพียงแต่โดนฟรีซไว้ให้หยุดนิ่ง ส่วนที่ปลายธารน้ำแข็งเบื้องล่างก็ดูสกปรกมอมแมม มองแทบไม่ออกว่าเป็นน้ำแข็ง แลเผินๆ คิดว่าเป็นผืนดิน แต่บางคนกลับดูเป็นภูเขาแลบลิ้ ก็แปลกดี ธารน้ำแข็งแห่งนี้มีอายุเพียงร้อยปีเท่านั้น จัดว่าเป็นธารน้ำแข็งยุคใหม่ มีพื้นที่กว้าง 16 ตารางกิโลเมตร และยาว 14.7 กิโลเมตร ในช่วงฤดูหนาวจะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน จนไม่สามารถมองเห็นธารน้ำแข็งแห่งนี้ได้ชัดเจนเฉกเช่นฤดูอื่น


สนใจทัวร์ไห่โหลวโกว ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ไห่โหลวโกว-มู่เก๋อฉั่ว-ตันปา-CN48.aspx

ขอบคุณข้อมูลจาก
1. Abroadtour.com
2. www.oceansmile.com


รูปสวยๆ จาก
1. www.meetawee.com
2. www.thaigoodview.com

จิ่วจ้ายโกว


     จิ่วจ้ายโกว หรือ อุทยานสระสวรรค์ หรืออุทยานธารสวรรค์จิ่วจ้ายโกว แล้วแต่ว่าเรียกกันแบบไหน ก่อนที่จะไปทัวร์จิ่วจ้ายโกว ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลพอสมควร จิ่วจ้าวโกว เป็นส่วนหนึ่งของผืนป่าทางตอนใต้ของเทือกเขาหมินซาน และเป็นแหล่งต้นน้ำของลำน้ำเจียหลิงที่เป็นสาขาหนึ่งของลำน้ำแยงซีเกียง ตั้งอยู่ริมชายขอบของที่ราบสูงทิเบตดินแดนแห่งหลังคาโลก บริเวณทางทิศเหนือของมณฑลเสฉวน เขตต่อเชื่อมจากที่ราบสูงทิเบตสู่มณฑลซื่อชวน อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองเฉิงตูราว 500 กิโลเมตร

     จิ่วจ้ายโกว ในภาษาจีนหมายถึง แควเก้าหมู่บ้าน (คำว่า จิ่ว = เก้า, ไจ้ = หมู่บ้าน, โกว = แควหรือธารน้ำ) โดยมีที่มาจากชนชาติทิเบต 9 หมู่บ้านที่อาศัยอยู่ริมธารน้ำบริเวณนี้มาแต่เดิม
จิ่วจ้ายโกว ได้รับการเรียกขานจากชนเผ่าทิเบตว่าเป็น “ขุนเขาธารน้ำอันศักดิ์สิทธิ์” ดังนั้นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นขุนเขา ป่าไม้ ลำน้ำ หรือหินทุกก้อนล้วนได้รับการเคารพจากชนเผ่าพื้นเมืองทิเบต ปัจจุบันผืนป่าโบราณอันอุดมแห่งนี้จึงยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี
จิ่วจ้าวโกว มีตำนานเล่าขานว่า เมื่อในครั้งอดีตกาลมีนักรบหนุ่มคนหนึ่งนามว่า ต้าเกอ ผู้ที่มีชิวิตเป็นอมตะ อาจเอื้อมไปรักเจ้าหญิง อู่นัวเซอโหม่ ผู้ทรงศักดิ์ ด้วยความรักอันมากมายที่ต้าเกอและเจ้าหญิงอู่นัวเซอโหม่ มีให้กัน ทำให้เทวดาและผู้ทรงศีลทั้งหลายเกิดอิจฉา วันหนึ่งนักรบหนุ่มได้สร้างกระจกวิเศษซึ่งทำมาจาก สายลมอันสงบ แสงแดดอันอบอุ่น หมู่เมฆอันนุ่มละมุน และขาวบริสุทธิ์ เพื่อมอบให้กับ เจ้าหญิงอู่นัวเซอโหม่ผู้เป็นที่รัก แต่ก่อนที่เจ้าหญิงจะได้รับกระจก เหล่าเทพเทวดาก็อิจฉา จึงบันดาลให้กระจกแตก เศษแก้วก็กระจายล่วงลงมาสู่โลกมนุษย์ เศษกระจกแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถึง 108 ชิ้น ซึ่งต่อมากลายเป็นทะเลสาบน้อยใหญ่ 108 แห่ง ซึ่งมีสีของน้ำเป็นสีฟ้าใสอมม่วง สลับกับทิวเขาที่มีใบไม้หลากสีสัน สวยงามในแต่ละฤดูกาลแตกต่างกันออกไป อย่างน่ามหัศจรรย์

     จิ่วจ้ายโกว พื้นที่อันห่างไกลแห่งนี้มีชาวทิเบต และเชียง ตั้งรกรากอยู่มานานหลายศตวรรษ มีแต่ทางม้ากับทางภูเขาเท่านั้น ชาวธิเบตดำรงชีวิตกันแบบพอเพียง ไม่ค่อยได้ติดต่อกับโลกภายนอกมากนัก และไม่ได้มีการสำรวจอย่างเป็นทางการจนกระทั่งปี พ.ศ. 2515 มีการทำธุรกิจตัดไม้อย่างหนัก จนถึงปี พ.ศ. 2522 กระทรวงป่าไม้ของจีน นำโดย หวูจงหลุน ได้เข้าสำรวจพื้นที่จิ่วจ้ายโกว และได้ค้นพบความสวยงามของธรรมชาติ จึงได้เสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการอนุรักษ์จิ่วจ้ายโกว ต่อเทศบาลมณฑลเสฉวน ต่อมารัฐบาลจีนได้สั่งห้ามกิจการดังกล่าว และประกาศพื้นที่นี้เป็นอุทยานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2525 จนกระทั่ง พ.ศ. 2527 จึงได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยการวางกฎระเบียบและสถานที่ต่างๆ ภายในอุทยานเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2531 และในปี พ.ศ. 2535 องค์การยูเนสโกได้ประกาศพื้นที่นี้ให้เป็นมรดกโลก และเป็น World Biosphere Reserve ใน พ.ศ. 2540
     จิ่วจ้ายโกว มีสภาพทางนิเวศวิทยาของบริเวณนี้เป็นร่องรอยที่เกิดจากแรงอัด และการเคลื่อนตัวของ เปลือกโลกหนุนขึ้นมาจนอยู่ในระดับสูง ทำให้เกิดร่องหินคดเคี้ยวเป็นทางยาว มีทั้งยอดเขาหิมะสูงเสียดฟ้า และหุบเขาลึก เฉพาะเขตที่มีการเปิดให้สาธารณชนเข้าชมก็มีความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 2,000 - 3,100 เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 7 - 8 องศาเซลเซียส มีป่าไม้โบราณที่ครอบคลุมอาณาบริเวณในจิ่วจ้ายโกวกว่าครึ่ง แน่นครึ้มไปด้วยพืชพรรณแมกไม้หลายหลาก ทั้งยังเป็นแหล่งชุมนุมของสัตว์ป่า และนกนานาชนิด และเนื่องจากสภาพภูมิอากาศมีความแตกต่างกัน ดังนั้นชนิดหรือพันธุ์พืชก็แตกต่างไปตามสภาพทางภูมิศาสตร์ และอากาศ นับตั้งแต่พันธุ์ไม้โบราณ พันธุ์ไม้หายาก พันธุ์ไม้ที่ขึ้นในป่าดิบชื้น พันธุ์ไม้ที่ผ่านการปรับตัวทางพันธุกรรม และเฟิร์นชนิดต่างๆ ที่มีคุณค่ามากมาย ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าธรรมชาติกว่า 3 พันตารางกิโลเมตร สัตว์และพันธุ์พืชกว่า 2,000 ชนิด สัตว์อนุรักษ์อีก 17 ชนิด รวมทั้งสัตว์สงวนอย่าง แพนด้า กระทิง ค่างขนทอง ละมั่งลายจุด กวางปากขาว แพนด้าจิ๋ว ลิงกัง ไก่ฟ้า ห่านฟ้า เป็นต้น


     ด้วยสภาพภูมิประเทศที่มีความสูงต่ำแตกต่างกันอย่างมากมายนี้ ได้ทำให้สภาพภูมิอากาศและพืชพรรณสัตว์ป่าก็มีความหลากหลาย และซับซ้อนยิ่งขึ้น ซึ่งสภาพเช่นนี้จึงทำให้จิ่วจ้ายโกว มีอากาศบริสุทธิ์สดชื่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก วิวสวยตลอดทั้งปี ฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้จะเขียวขจี ดอกท้อบานสะพรั่ง ฤดูร้อน ป่าไม้ก็ยังคงเขียว พร้อมมีดอกไม้ป่านานาพรรณ ฤดูใบไม้ร่วง เป็นช่วงที่คนนิยมมาเที่ยวมากที่สุด เพราะใบไม้ทั้งป่าจะเปลี่ยนสี เป็นสีแดง เหลืองอ่อน เทา และน้ำตาล สวยงามยิ่งนัก ฤดูหนาว สีเขียวของป่าไม้ตัดกับสีขาวของหิมะ ช่างเป็นภาพที่สวยงามลงตัวราวกับภาพวาด
ปัจจุบัน เส้นทางอุทยานที่เปิดให้สาธารณชนได้เข้าชมมีความยาว 49 กิโลเมตร จากพื้นที่ 3 ใน 9 แคว โดยรัฐบาลจีนได้จัดทำบันไดไม้ปูลาดเป็นทางยาวเลียบไปกับเส้นทางน้ำ ผ่านโตรกธาร บึงน้ำ สระมรกต และน้ำตก เพื่อให้ได้ชื่นชมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด
     การเดินทางเข้าไปยังอุทยานจิ่วจ้ายโกวนั้น เราต้องขึ้นรถของทางอุทยานฯ เพื่อเข้าไปภายใน ทางอุทยานฯ ไม่อนุญาตให้รถจากภายนอกใดๆ เข้าไปทั้งสิ้น รถที่ใช้นั้นไม่ใช้น้ำมัน แต่เป็นรถที่ใช้พลังงานธรรมชาติ เพื่อลดมลภาวะในอากาศ ห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด ยกเว้นบางจุด (ซึ่งมีน้อยมากๆ) เท่านั้น รถจะวิ่งไต่ระดับความสูงตามเส้นทางที่แคบ และคดเคี้ยว ของภูเขาไปเรื่อยๆ จนถึงจุดชมวิว หากเราอยากเที่ยวตรงจุดไหนก็สามารถขอลงได้ ณ จุดจอดรถ
  


สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในอุทยานจิ่วจ้ายโกว    ทะเลสาบต้นอ้อ ทะเลสาบที่เต็มไปด้วยต้นไผ่อ้อ มีลำธารสีเขียวฟ้าไหลผ่านกลางไผ่อ้อ ในฤดูใบไม้ผลิ และฤดูร้อน ไผ่อ้อจะสีเดียวกับลำธาร ส่วนฤดูใบไม้ร่วงกับฤดูหนาว ไผ่อ้อจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ตัดกับสีเขียวของลำธาร
    ทะเลสาบมังกรหลับ ทะเลสาบนี้ไม่ใหญ่มากนัก แต่ถือว่าเป็นตัวแทนของทะเลสาบสีน้ำเงิน
    หมู่ทะเลสาบซู่เจิ้น หมู่ทะเลสาบซู่เจิ้น ประกอบด้วยทะเลสาบใหญ่เล็ก 19 แห่ง สลับกันเป็นขั้นบันได ระหว่างทะเลสาบเหล่านี้เต็มไปด้วยต้นไม้ตระกูลหญ้าต่างๆ สมญานามว่า วิวจำลองจิ่วจ้ายโกว
    น้ำตกซู่เจิ้น น้ำตกซู่เจิ้น มีลักษณะเหมือนกลับดอกบัว น้ำที่ไหลมาจากทะเลสาบข้างบน ถูกต้นไม้แยกเป็นสายน้ำเล็กๆหลายพันสาย สุดท้ายก็มารวมกันที่ยอดน้ำตกเทลงมาทีเดียว สง่างามมาก
    ทะเลสาบเสือ ทะเลสาบนี้น้ำลึกและเงียบสงบ ที่มาของชื่อทะเลสาบ มี 3 อย่าง (1) เสียงน้ำไหลของน้ำตกซู่เจิ้นดังเหมือนเสียงร้องของเสือ (2) ฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ใบไม้รอบๆทะเลสาบ จะเปลี่ยนสีและสะท้อนบนผิวน้ำดูเหมือนรวดลายของเสือ (3) เสือในป่าลงมากินน้ำที่ทะเลสาบนี้บ่อยๆ
    ทะเลสาบแรด เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่อันดับ 2 ของอุทยานจิ่วจ้ายโกว รองจากทะเลสาบยาว และเป็นทะเลสาบที่มีวิวเปลี่ยนเยอะที่สุด เงาสะท้อนสวยงามอันดับ 1 รอบทะเลสาบเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิด ฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อนจะเป็นสีเขียวทั้งหมด ฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้จะเป็นสีแดง ส่วนต้นจะเป็นสีเขียว ส่องเงาสะท้อนน้ำยิ่งสวยงาม โดยเฉพาะสีครามผืนใหญ่กลางทะเลสาบ
    น้ำตกโน่ยื่อหล่าง เป็นน้ำตกหินปูนที่กว้างที่สุดของอุทยานจิ่วจ้ายโกว และกว้างที่สุดในประเทศจีน โน่ยื่อหล่างในภาษาธิเบตหมายถึง เทวดาที่สง่างาม ในฤดูหนาว น้ำตกจะแข็งตัวกลายเป็นม่านน้ำแข็ง ห้อยย้อยตามหน้าผาหิน
    ทะเลสาบกระจก เงาสะท้อนของทะเลสาบกระจก เสมือนกระจกบานใหญ่สะท้อนเงาจากท้องฟ้า ทำให้เกิดภาพพิเศษขึ้นมา คือมีปลาว่ายกลางเมฆหมอก มีนกบินกลางสายน้ำ ริมทะเลสาบมีต้นไม้สองต้นพันกันสูงระฟ้า ทำให้คู่รักนิยมมาถ่ายรูปที่นี่ เพราะเชื่อกันว่าจะซื่อสัตย์ต่อความรักตลอดไป เวลาที่ดีที่สุดในการถ่ายรูปที่ ทะเลสาบกระจก คือต้องถ่ายก่อน 9 โมงเช้า หรือหลัง 5 โมงเย็น เพราะผิวน้ำจะนิ่งสงบ ทำให้เกิดเงาสะท้อนที่ชัดเจน
    น้ำตกธารไข่มุก เกิดจากการรวมตัวของน้ำที่ไหลมาจากธารไข่มุก แล้วตกลงไปตามหน้าผา สวยงามและเสียงดังมาก เรียกได้ว่าเป็นน้ำตกที่เสียงดังที่สุดในอุทยานจิ่วจ้ายโกวเลยทีเดียว ที่น้ำตกแห่งนี้ ยังเคยเป็นจุดที่ใช้ถ่ายทำภาพยนต์เรื่องไซอิ๋ว เพราะความสวยงามของน้ำตกนั่นเอง
    ทะเลสาบกระดิ่งทอง ที่มาของชื่อ ก็เพราะว่า มีทะเลสาบ 2 แห่งติดกัน เหมือนกระดิ่ง ทะเลสาบแห่งเล็กน้ำลึก 103 เมตร และเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดของอุทยานจิ่วจ้ายโกว
    ทะเลสาบดอกไม้ห้าสี เป็นทะเลสาบที่มีวิวสวยอันดับต้นๆ ของอุทยานจิ่วจ้ายโกว เนื่องมาจากการกระจายตัวของตะกอนหินปูน สาหร่าย และพืชน้ำ ทำให้เกิดสีหลายสีสวยงามมาก
    ทะเลสาบหมีแพนด้า ได้ชื่อนี้เพราะว่าในสมัยก่อน บริเวณนี้มีหมีแพนด้าอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
    ทะเลสาบไผ่ลูกศร เป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ที่รายล้อมด้วยไผ่ลูกศร อันเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบไผ่ลูกศรนั่นเอง ไผ่ลูกศรเป็นอาหารโปรดของหมีแพนด้า น่าแปลกใจที่ว่า ในฤดูหนาว น้ำในทะเลสาบไผ่ลูกศรยังคงเป็นสีเขียว ในขณะที่ทะเลสาบหมีแพนด้า ซึ่งอยู่ใกล้กัน กลับกลายเป็นน้ำแข็งทั้งหมด
    น้ำตกไผ่ลูกศร เป็นน้ำตกที่กว้าง แต่ไม่สูงมากนัก
    ทะเลสาบหญ้า เป็นทะเลสาบกึ่งบึง ตั้งอยู่ในหุบเขาสูงและลึกลับ เงียบสงบ แสงแดดส่องถึงช้ากว่าทะเลสาบแห่งอื่นๆ
    ทะเลสาบฤดูกาล เส้นทางจากน้ำตกโน่ยื่อหล่าง ถึงทะเลสาบยาว เป็นเส้นทางที่ยาวที่สุด (18 กม.) และสูงที่สุดในอุทยานจิ่วจ้ายโกว ซึ่งจะผ่านทะเลสาบฤดูกาล 3 แห่ง แต่ละแห่งห่างกันพอสมควร ทะเลสาบฤดูกาลตอนใต้ อยู่ใกล้กับหมู่บ้านจือจาวา ทะเลสาบฤดูกาลตอนกลางอยู่ช่วงกลางของเส้นทาง ส่วนทะเลสาบฤดูกาลตอนเหนือ จะอยู่ใกล้กับทะเลสาบห้าสี ตามลักษณะของชื่อ ก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า ทะเลสาบแห่งนี้จะมีน้ำหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับฤดูกาล ในฤดูฝน น้ำก็จะเต็มทะเลสาบ ทำให้เราเห็นเป็นทะเลสาบสีคราม ในฤดูร้อน น้ำก็จะน้อย เห็นเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนในฤดูแล้ง น้ำก็จะแห้ง และเต็มไปด้วยต้นหญ้า ทำให้มีฝูงวัวกับแพะมากินหญ้าเต็มไปหมด
    ทะเลสาบห้าสี ในอุทยานจิ่วจ้ายโกว ทะเลสาบห้าสี ถือเป็นจุดไฮไลท์อีกแห่งหนึ่ง เพราะน้ำใสบริสุทธิ์ มองเห็นก้นทะเลสาบอย่างชัดเจน เล่ากันว่า ทะเลสาบห้าสีเป็นที่ล้างหน้าของนางฟ้าซื่อหม่อ ซึ่งเทวดาด๋าเกอเป็นคนตักน้ำจากทะเลสาบยาวมาให้ทุกวัน จนทางเดินที่เทวดาด๋าเกอใช้เดินกลายเป็นขั้นบันไดทั้งหมด 189 ขั้น และแป้งที่ล้างออกจากใบหน้าของนางฟ้าซื่อหม่อ ก็กลายมาเป็นทะเลสาบห้าสีในปัจจุบัน เชื่อกันว่า คู่รักคู่ใดไปอธิฐานรักที่ทะเลสาบห้าสี แล้วเดินกลับขึ้นมาด้านบนโดยผ่านบันได 189 ขั้น ก็จะรักกันชั่วนิจนิรันดร์
     ความงดงามของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายของ อุทยานแห่งชาติจิ่วจ้ายโกว จึงยังคงความงดงามดั่งแดนดินที่ถูกนิรมิต ซึ่งนักท่องเที่ยวทั่วโลกปรารถนาที่จะไปทัวร์จิ่วจ้ายโกว เพื่อชมความสวยงามของความเป็นธรรมชาติ ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว อากาศอันบริสุทธิ์ พืชพันธุ์นานา ชนิดที่มีสีสันอันหลากหลาย ทะเลสาบน้อยใหญ่ ดังกระจกเงา ธารน้ำตกที่มีชีวิตชีวา ล้วนเป็นฝีมือของธรรมชาติที่มอบเป็นมรดกแก่มนุษย์ ณ สถานที่ ที่ได้ถูกเรียกขานว่า อุทยานสระสวรรค์ หรืออุทยานธารสวรรค์ จิ่วจ้ายโกว



สนใจทัวร์จิ่วจ้ายโกว ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์จิ่วจ้ายโกว.aspx

ขอบคุณข้อมูลจาก  
1. www.xn--12cna8hxad8en4k6bn.com/ (www.จิ่วจ้ายโกว.com)
2. www.abroad-tour.com/china/jiuzhaigou/
3. www.doubleenjoy.com

ขอบคุณภาพสวยๆ จาก
1. www.doubleenjoy.com
2. www.trekkingthai.com