Review China
วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555
กุ้ยหลิน ประเทศจีน
กุ้ยหลิน
กุ้ยหลิน (Guilin) เป็นหนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศใต้ติดกับมณฑลหยุนหนัน ทางเหนือติด กับกุ้ยโจว ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับหูหนัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ ติดกับกว่างตง ทางใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับ ประเทศเวียดนาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และเทือกเขาขนาดเล็กที่ยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ ภูเขาต้าหมิงซันและต้าเหยาซัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นเขตหินปูนขาวที่ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีถ้ำหินปูนอยู่มากมาย สภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน โดยทางเหนือเป็นเขตร้อนแถบเอเชียกลาง ทางใต้เป็นเขตร้อนแถบเอเชียใต้ อุณหภูมิเฉลี่ย 16-23 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุก ฤดูร้อนยาวนานกว่าฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 27-29 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนมกราคมประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-2,800 มิลลิเมตรต่อปี หากมาทัวร์กุ้ยหลิน ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวดังนี้
เขางวงช้าง (Elephant Trunk Hill) เป็นสัญลักษณ์ของเมืองกุ้ยหลิน ตั้งอยู่ในตัวเมืองบริเวณจุดบรรจบของแม่น้ำ 2 สาย ได้แก่ หลีเจียงและถาวฮวาเจียง ( หยางเจียง ) เขางวงช้างมีรูปร่างหากมองจากมุมที่เหมาะจะเห็นเหมือนช้างกำลังใช้งวงดูดน้ำ จากแม่น้ำหลีเจียง มีถ้ำลอดระหว่างงวงและขาหน้าของงวงช้างเป็นรูปทรงกลม มองดูคล้ายพระจันทร์กำลังตกน้ำยามพลบค่ำ ถ้ำนี้จึงมีชื่อว่า “สุ่ยเย่” หรือพระจันทร์บนผิวน้ำ เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นหน้าขึ้นตาของเมือง
ถ้ำขลุ่ยอ้อ (Reed Flute cave) มีชื่อภาษาจีนกลางว่า “ หลูตี๋ ” ตั้งอยู่ชานเมืองกุ้ยหลิน อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ที่ระดับความสูง 240 เมตร มีบันไดขึ้นไป 60 ขั้น ที่มาของชื่อถ้ำมาจากต้นอ้อที่ขึ้นอยู่ด้านหน้า ในอดีตใช้ทำขลุ่ย ทางเดินภายในค่อนข้างแคบ มีหินงอกหินย้อยงดงามตลอดทาง มีไฟสีสาดไปตรงส่วนที่มีรูปร่างคล้ายอะไรบางอย่าง เช่น สิงโต คน น้ำตก เจดีย์ ฯลฯ ส่วนที่สวยที่สุดคือวังแก้วแห่งราชามังกร เป็นหินงอกขึ้นมาจากบริเวณที่มีน้ำซับ ดูแล้วเหมือนทัศนียภาพของเมืองกุ้ยหลินแถบแม่น้ำหลีเจียง
สวนเจ็ดดาว (Seven Star Park) ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองลั่วหยาง ประมาณ 7 ไมล์ มีความเป็นมาดังนี้เมื่อปี ที่ 64 ของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (25-220 ก่อนคริสตศักราช) ฮ่องเต้ หมิง ได้ส่งผู้แทนไปศึกษาพระพุทธศาสนาทางโลกตะวันตกจากนั้นสามปีต่อมาพระเกจิชื่อดังของอินเดีย ได้เดินทางกลับมาพร้อมกับผู้แทนโดยทั้งสองได้จูงม้าขาวที่แบกพระไตรปิฎก และพระพุทธรูป นี่เป็นครั้งแรกที่พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นในประเทศจีน นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับความสงบร่มรื่นในบริเวณวัด ที่นี่เป็นแหล่งที่รวบรวมสถาปัตยกรรมอันมีค่า อายุกว่า 1900 ปี ประกอบด้วย ห้องบัญชาการฮ่องเต้ ห้องประดิษฐานพระพุทธรูป ห้องสำหรับฟังธรรมเทศนาและระเบียงเรียบด้าน หลังวัดที่เชื่อว่าเป็นจุดที่ม้าขาวได้แบกพระพุทธรูปและพระสูตรจากอินเดีย พร้อมๆ กับพระเกจิจากอินเดียทั้งสองรูปได้แปล พระสูตรเป็นภาษาจีนซึ่งทำให้ที่แห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน
แม่น้ำหลีเจียง ( Li River) หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมือง หยางซั่ว (Yang-Shou)
หยางซั่ว ( Yangshuo) ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้น
โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบเป้ใบเดียว หรือเรียกว่า backpacker ชอบนักแล ทั้งยังสามารถเช่าจักรยาน ขี่เที่ยวเล่นชมแหล่ง ท่องเที่ยว อื่นๆ ข้างเคียง กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ประการหนึ่งคือ การนั่งเรือท่องแม่น้ำหลีเจียง เส้นทางเรือจากกุ้ยหลินถึงเมือง หย่างซั่ว เป็นระยะทางประมาณ 40 ไมล์ ( 60 กิโลเมตร ) ตลอดทางคดเคี้ยวของแม่น้ำหลี่ คือ ภูเขาน้อยใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา กระตุ้นจินตนาการของผู้คนดังเห็นได้จากชื่อ เขางวงช้าง เขาตาเฒ่า เขาเจีดย์ และเขารู ภาพชาวประมง นกกาน้ำ และเพื่อนร่วมงานในแพไม้ไผ่แคบๆ
สนใจทัวร์กุ้ยหลิน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์กุ้ยหลิน-หยางซั่ว-หลงเซิ่น.aspx
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก
www.qetour.com
อ้างอิง: www.travelchinaguide.com,วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี
ลี่เจียง ประเทศจีน
ลี่เจียง
ลี่เจียง (Lijiang) เป็นเขตการปกครองที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเขตเมืองและเขตชนบททางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีจำนวนประชากรราว 1,100,000 คน มีย่านเมืองเก่าลี่เจียงที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน (Dayan old town)ย่านเมืองเก่าลี่เจียงมีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้มากกว่า 800 ปี และเคยเป็นจุดแลกเปลี่ยนค้าขายสินค้าตามเส้นทางสาย Tea Horse สายเก่า ย่านเมืองเก่านี้มีชื่อเสียงจากคูคลองและสะพานที่มีอยู่มากมาย จนได้รับการขนานนามว่า "เวนิสแห่งตะวันออก" เมืองเก่าลี่เจียงมีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาสี มาตั้งแต่สมัยโบราณ หากมาทัวร์ลี่เจียง ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำดังนี้
เมืองโบราณลี่เจียง (Ancient Town of Dayanzhen) เมืองโบราณลี่เจียง เป็นเมืองของชนกลุ่มน้อยและวัฒนธรรมที่ล้ำค่ายิ่ง ตั้งอยู่ส่วนกลางของเขตปกครองตนเองหน่าซี มณฑลยูนนาน บนที่ราบสูง เหนือระดับน้ำทะเล 2400 เมตร (7874 ฟุต) ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสิงโต ในฝั่งตะวันตก ช้าง และ ทอง ในทางเหนือ และทุ่งหญ้าใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมถึง ลำธารใสที่ไหลผ่านกลางเมือง ครอบคลุมพื้นที่ 3.8 ตร.กม สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง และช่วงต้นของราชวงศ์หยวน และ มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี นับตั้งแต่กุบไลข่านผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิคนแรกของราชวงศ์หยวนได้ตั้งให้ลี่เจียงเป็นราชธานีแห่งแรกในยุคของเขา ลี่เจียงเติบโตเร็วมาก และได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม การศึกษา ในพื้นที่ดินแดนแห่งนี้ การละเล่น เป็นบทบาทสำคัญในกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างชาวยูนนาน จีนแผ่นดินใหญ่ ทิเบต อินเดีย และ ประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศในเอเชีย ร้านรวงต่างๆตามถนนนั้นสะท้อนให้เห็นความหลากหลายของวัฒนธรรมอันล้ำค่าและสีสัน แฟนซี งานฝีมือต่างๆ
ลักษณะของเมืองมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น กล่าวคือ เป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อันสืบเนื่องมาจากแนวคิดของ ตระกูลมู่ ซึ่งเป็นชนดั้งเดิม ที่ไม่ต้องการให้พวกตนและชาวเมืองอยู่อย่างเยี่ยงหนูที่ต้องคอยระแวดระวังกับดักเมื่อออกจากรู ซึ่งแนวคิดนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียง นั่นคือ เมืองที่ไร้กำแพง ด้วยการผสมผสานของกลุ่มชนหลากเชื้อชาติและการเติบโตของชนกลุ่มหน่าซี ตึกรามบ้านช่องได้รวมเอาส่วนที่ดี่ที่สุดของสถาปัตยกรรมฮั่น ไป๋ และ ทิเบต รวมกันเป็น ลักษณะพิเศษในแบบของ หน่าซี โครงร่างของเมืองเป็นแบบยืดหยุ่น บ้านจะติดๆกัน และประกอบกัน ถนน ก็จะแคบๆ ชาวหน่าซี จะยอมเสียเวลาไปกับการตกแต่งบ้านเรือนกันอย่างมาก บ้านหลังใหญ่ๆ มัก ตกแต่งด้วยสวน แต่ะละสวนจะตกแต่งเป็นรูปร่างคน และ สัตว์ ประตู หน้าต่าง ตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับสวยงาม ชาวเมืองโบราณดำรงชีวิตได้ด้วยน้ำ ซึ่งเป็นดั่งเส้นเลือด น้ำจากสระน้ำมังกรดำเป็นแหล่งน้ำหลักที่ไหลแตกแขนงไปเป็นลำธารเล็กๆ ไปยังทุกๆบ้านภายในเมืองและทุกๆถนนจะมีต้นวิวโลว์ปลูกเรียงราย และ มีสะพานหลายลักษณะ กว่า 350 ชนิด ทอดภายในตัวเมืองเล็กๆนี้ บ้างก็สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง และ ชิง การจัดระบบการใช้น้ำของชาวพื้นเมือง แบ่งเป็นทุกๆ 3 เดือน ดังนี้ เดือนแรกเป็นน้ำที่ดื่มได้ เดือนที่สองเป็นน้ำสำหรับล้างผัก ผลไม้ และเดือนสุดท้ายเป็นน้ำใช้สำหรับซักผ้า สายน้ำเหล่านี้ มิได้ใช้เพียงหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน หากแต่ยังเป็นความงามของเมืองจนได้รับยกย่องเป็นเมืองเวนิซตะวันออก และ ซูโจวในที่ราบสูงในวันที่ 3 ธันวาคม 1997 เมืองโบราณแห่งนี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก
สระน้ำมังกรดำ (Black Dragon Pool Park) สระน้ำ"มังกรดำ"หรือ"เฮยหลงถัน"ที่อยู่ทางภาคเหนือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงเมืองเก่าแห่งนี้ น้ำที่ไหลออกจากสระน้ำมังกรดำเลี้ยวลดคดเคี้ยวและวกไปวนมาจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้และแบ่งเป็นสายธารเล็กๆจำนวนมากในบริเวณ เมืองเก่าแห่งนี้ บ้างก็ไหลล้อมตามบ้านเรือน บ้างเลี้ยวลดคดเคี้ยวไป ตามถนนหนทาง ก่อให้เกิดเป็นภาพถนนสายสำคัญที่อยู่ริมฝั่งน้ำ ตรอกเล็กซอยน้อยริมธาร และตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ริมน้ำ
ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon snow mountain) ตั้งอยู่ระหว่างลองจิจูดที่ 100 องศา 4 ลิปดา - 100 องศา 16 ลิปดา ตะวันออก และละติจูดที่ 27 องศา 3 ลิปดา – 27 องศา 40 ลิปดา เหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ประกอบด้วย ยอดเขา 13 ยอด หนึ่ง ใน 13 ยอด เขา คือ ยอดเขา ซานจือโตว เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด ด้วยความสูงถึง 5600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขาหิมะมังกรหยก ทอดตัวยาว ถึง 35 กม. และ กว้าง 20 กม. หากมองจากเมืองโบราณลี่เจียง ในทางทิศใต้ ในระยะห่าง 15 กม. จะเห็น หิมะปกคลุม และ หมอก คล้ายกับ มังกรหยกนอนราบในเมฆ จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก นั่นเอง
ที่ราบหยุนซาน ( Yunshan Plateau) ที่ราบหยุนซาน หรือ เรียกได้อีกชื่อว่า หุบเขาวิเศษ เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังป่า ซึ่งอยู่บริเวณตีนภูเขาหิมะมังกรหยก และล้อมรอบด้วยสนสูงตระหง่าน ที่ราบแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร ทุกๆปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ท้องทุ่งจะเต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียวชอุ่ม และสีสันของดอกไม้ ในช่วงฤดูใบไม่ร่วงใบไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ในฤดูหนาว ที่ราบแห่งนี้จะถูกปกคลุม ด้วยหิมะ ที่ราบแห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ชนกลุ่มน้อย หน่าซี ในการเป็นดังทางเข้าสู่สวรรค์ของพวกเขา เป็นสถานที่ๆ คนจะรัก และ มีอิสระร่วมกัน ตำนานเล่าว่า การตายเพื่อคนรักเกิดขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรก เนื่องจากในอดีตนั้น จะมีคู่รัก ที่ถูกกีดกัน มาตายด้วยกันที่นี่ ซึ่งตำนานดังกล่าวได้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และดึงดูดให้คู่รัก ได้มาใช้เวลาโรแมนติคร่วมกัน ท่านจะได้เห็นเด็กสาวสวมชุดหลากสีสันออกมาเต้นรำบนที่ราบหรือ ในป่า เด็กสาวเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อยหน่าซี และ ยี่
วัดอวี้เฟิง(Yufeng Temple) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของตีนเขาหิมะมังกรหยก ห่างจากตัวเมืองโบราณลี่เจียงไปทางเหนือ ประมาณ 13 กม. เป็นวัดหนึ่งของนิกายลามะในลี่เจียง สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1756 ช่วงสมัยเฉียงหลงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ชิง วัดนี้เคยมีสนามล้อมรอบอยู่ 9 แห่ง แต่ ที่ยังเหลือ อยู่ในปัจจุบัน คือ สนามที่ทางเข้า อาคารหลังหลัก ของวัด บรรยากาศล้อมรอบวัดเป็นสิ่งวิเศษสุดที่พระเจ้าประทานให้ ทั้งภูเขาหิมะ และ ทุ่งหญ้ากว้าง ป่าใหญ่และ แม่น้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ผสมผสาน เอาสถาปัตยกรรมของพุทธศาสนาฮั่น ทิเบต และ หน่าซี ต้งป๋า สืบเนื่องจากการหลอมรวมของชนกลุ่มน้อยๆต่างๆ ที่อยู่ต่างๆพื้นที่ในสมัยราชวงศ์ชิงทำให้วัฒนธรรมหน่าซีรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ววัดหยูเฟิง เป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ของความสงบสุข ของคนต่างวัฒนธรรม และ ศาสนา ของชาวหน่าซีได้เป็นอย่างดี
ทะเลสาบหลู่กู๋(Lugu Lake) อยู่ห่างจากตัวเมืองลี่เจียง ประมาณ 200 กม. ระหว่างบริเวณพรมแดนเมืองหนิงหลาง มณฑลยูนนาน และเมืองหยางหยวน มณฑลเสฉวน ทะเลสาบแห่งสวยงามราวกับไข่มุกที่สะท้อนแสงท่านกลางขุนเขาของที่ราบสูงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือในมณฑลยูนนาน รูปร่างของทะเลสาบแห่งนี้ เป็นแบบเกือกม้า ทอดตัวยาวจากทางเหนือลงทางใต้ และแคบจากทางตะวันออกถึงตะวันตก ทิวทัศน์ของทะเลสาบเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวันช่วงเช้า จะมีสายหมอกและแสงแดดสะท้อน ทำให้ทะเลสาบเป็นส้มสะท้อน เมื่อ แสงของอาทิตย์สาดส่องไปยังขุนเขาจะทำให้น้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีมรกต และ มืดครึ้มลงในยามเย็น เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า จะนำมาซึ่งความสงบเมื่อเวลาค่ำมาเยือน ในทะเลสาบมีเกาะอยู่5เกาะขนาดแตกต่างกัน ราวกับ เรือสีเขียวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ประกอบด้วย เกาะเฮยหว่าอู เกาะหลีอู๋ปี้ หลี่เก๋อ และหนีซี่ ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กสุด เป็นก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมซึ่งมีต้นไม้เล็กๆและมอสขึ้นอยู่
โค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียง (First Bend of the Yangtze River)แม่น้ำแยงซีเกียง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำของประเทศจีน เป็นลำน้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ตอนกลางของประเทศจีน เป็นหนึ่ง 3 ที่ยาวที่สุดในโลก เริ่มจากที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต กระแสคลื่นแรงของแม่น้ำแยงซีเกียงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนไปบรรจบที่ช่องเขาเหิงต้วน ซึ่งอยู่ห่างเมืองลี่เจียงประมาณ 44 ไมล์ นับเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่ไม่ปกติ เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดโค้งเป็นรูป ตัว V และ ไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นการหมุนกลับที่ผิดแผกจากธรรมชาติ ในพิเศษของภูมิประเทศดังกล่าวทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงาม อย่างเช่น แม่น้ำกว้างและ ไหลเอื่อย ต้นวิวโลว์ ขึ้นสองข้างฝั่งแม่น้ำ ทำให้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ เขียวชอุ่ม พืชผลอุดมสมบูรณ์ เขาสูงชั้น ที่ผุดขึ้น และแตะขอบฟ้า ทำให้ภาพรวมของภูมประเทศแห่งนี้ดูน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก นี้คือโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง ภูมิประเทศที่แปลกประหลาดที่มีชื่อเสียงของโลก
ช่องแคบเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge )อยู่ห่างจากเมืองโบราณลี่เจียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 100 กม. วางตัวระหว่าง ภูเขาหิมะมังกรหยก (เย่อหลง ซื่อซาน) และ ภูเขาหิมะฮาป๋า เป็นช่องแคบที่เชื่อว่าลึกที่สุดในโลก สามารถลึกลงไปถึง 200 เมตร ลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือส่วนที่แคบที่สุดเป็นปากแม่น้ำจิ่งซา ตอนกลางของปากแม่น้ำ คือ ก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุด มีความกว้างเพียง 30 เมตรเท่านั้น เล่ากันว่า อดีตนั้นมีเสือตัวหนึ่งได้ใช้ก้อนหินนี้เป็นช่วง รอยต่อจากช่องแคบหนึ่งไปอีกช่องแคบหนึ่ง จึงเป็น ที่มาของชื่อ ช่องแคบเสือกระโจน นั่นเอง
สนใจทัวร์คุนหมิง ลี่เจียง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์คุนหมิง.aspx
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก
www.qetour.com
อ้างอิง: www.travelchinaguide.com,วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี,เว็บChina Radio International.CRI
ลี่เจียง (Lijiang) เป็นเขตการปกครองที่ประกอบด้วยส่วนที่เป็นเขตเมืองและเขตชนบททางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีจำนวนประชากรราว 1,100,000 คน มีย่านเมืองเก่าลี่เจียงที่มีชื่อเสียงมาก ซึ่งมีชื่ออย่างเป็นทางการว่า เมืองเก่าต้าเหยียน (Dayan old town)ย่านเมืองเก่าลี่เจียงมีประวัติศาสตร์ย้อนหลังไปได้มากกว่า 800 ปี และเคยเป็นจุดแลกเปลี่ยนค้าขายสินค้าตามเส้นทางสาย Tea Horse สายเก่า ย่านเมืองเก่านี้มีชื่อเสียงจากคูคลองและสะพานที่มีอยู่มากมาย จนได้รับการขนานนามว่า "เวนิสแห่งตะวันออก" เมืองเก่าลี่เจียงมีสถาปัตยกรรม ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมแตกต่างไปจากเมืองโบราณอื่นๆของจีน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งรกรากของชาวหน่าซี หรือนาสี มาตั้งแต่สมัยโบราณ หากมาทัวร์ลี่เจียง ก็จะมีสถานที่ท่องเที่ยวแนะนำดังนี้
เมืองโบราณลี่เจียง (Ancient Town of Dayanzhen) เมืองโบราณลี่เจียง เป็นเมืองของชนกลุ่มน้อยและวัฒนธรรมที่ล้ำค่ายิ่ง ตั้งอยู่ส่วนกลางของเขตปกครองตนเองหน่าซี มณฑลยูนนาน บนที่ราบสูง เหนือระดับน้ำทะเล 2400 เมตร (7874 ฟุต) ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสิงโต ในฝั่งตะวันตก ช้าง และ ทอง ในทางเหนือ และทุ่งหญ้าใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ รวมถึง ลำธารใสที่ไหลผ่านกลางเมือง ครอบคลุมพื้นที่ 3.8 ตร.กม สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่ง และช่วงต้นของราชวงศ์หยวน และ มีประวัติยาวนานกว่า 800 ปี นับตั้งแต่กุบไลข่านผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิคนแรกของราชวงศ์หยวนได้ตั้งให้ลี่เจียงเป็นราชธานีแห่งแรกในยุคของเขา ลี่เจียงเติบโตเร็วมาก และได้กลายเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม การศึกษา ในพื้นที่ดินแดนแห่งนี้ การละเล่น เป็นบทบาทสำคัญในกิจกรรมแลกเปลี่ยนระหว่างชาวยูนนาน จีนแผ่นดินใหญ่ ทิเบต อินเดีย และ ประเทศอื่นๆ อีกหลายประเทศในเอเชีย ร้านรวงต่างๆตามถนนนั้นสะท้อนให้เห็นความหลากหลายของวัฒนธรรมอันล้ำค่าและสีสัน แฟนซี งานฝีมือต่างๆ
ลักษณะของเมืองมีความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น กล่าวคือ เป็นเมืองที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบ อันสืบเนื่องมาจากแนวคิดของ ตระกูลมู่ ซึ่งเป็นชนดั้งเดิม ที่ไม่ต้องการให้พวกตนและชาวเมืองอยู่อย่างเยี่ยงหนูที่ต้องคอยระแวดระวังกับดักเมื่อออกจากรู ซึ่งแนวคิดนี้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของลี่เจียง นั่นคือ เมืองที่ไร้กำแพง ด้วยการผสมผสานของกลุ่มชนหลากเชื้อชาติและการเติบโตของชนกลุ่มหน่าซี ตึกรามบ้านช่องได้รวมเอาส่วนที่ดี่ที่สุดของสถาปัตยกรรมฮั่น ไป๋ และ ทิเบต รวมกันเป็น ลักษณะพิเศษในแบบของ หน่าซี โครงร่างของเมืองเป็นแบบยืดหยุ่น บ้านจะติดๆกัน และประกอบกัน ถนน ก็จะแคบๆ ชาวหน่าซี จะยอมเสียเวลาไปกับการตกแต่งบ้านเรือนกันอย่างมาก บ้านหลังใหญ่ๆ มัก ตกแต่งด้วยสวน แต่ะละสวนจะตกแต่งเป็นรูปร่างคน และ สัตว์ ประตู หน้าต่าง ตกแต่งด้วยไม้ดอก ไม้ประดับสวยงาม ชาวเมืองโบราณดำรงชีวิตได้ด้วยน้ำ ซึ่งเป็นดั่งเส้นเลือด น้ำจากสระน้ำมังกรดำเป็นแหล่งน้ำหลักที่ไหลแตกแขนงไปเป็นลำธารเล็กๆ ไปยังทุกๆบ้านภายในเมืองและทุกๆถนนจะมีต้นวิวโลว์ปลูกเรียงราย และ มีสะพานหลายลักษณะ กว่า 350 ชนิด ทอดภายในตัวเมืองเล็กๆนี้ บ้างก็สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง และ ชิง การจัดระบบการใช้น้ำของชาวพื้นเมือง แบ่งเป็นทุกๆ 3 เดือน ดังนี้ เดือนแรกเป็นน้ำที่ดื่มได้ เดือนที่สองเป็นน้ำสำหรับล้างผัก ผลไม้ และเดือนสุดท้ายเป็นน้ำใช้สำหรับซักผ้า สายน้ำเหล่านี้ มิได้ใช้เพียงหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน หากแต่ยังเป็นความงามของเมืองจนได้รับยกย่องเป็นเมืองเวนิซตะวันออก และ ซูโจวในที่ราบสูงในวันที่ 3 ธันวาคม 1997 เมืองโบราณแห่งนี้ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม โดยองค์การยูเนสโก
สระน้ำมังกรดำ (Black Dragon Pool Park) สระน้ำ"มังกรดำ"หรือ"เฮยหลงถัน"ที่อยู่ทางภาคเหนือเป็นแหล่งน้ำสำคัญที่หล่อเลี้ยงเมืองเก่าแห่งนี้ น้ำที่ไหลออกจากสระน้ำมังกรดำเลี้ยวลดคดเคี้ยวและวกไปวนมาจากทิศเหนือลงสู่ทิศใต้และแบ่งเป็นสายธารเล็กๆจำนวนมากในบริเวณ เมืองเก่าแห่งนี้ บ้างก็ไหลล้อมตามบ้านเรือน บ้างเลี้ยวลดคดเคี้ยวไป ตามถนนหนทาง ก่อให้เกิดเป็นภาพถนนสายสำคัญที่อยู่ริมฝั่งน้ำ ตรอกเล็กซอยน้อยริมธาร และตึกรามบ้านช่องที่ตั้งอยู่ริมน้ำ
ภูเขาหิมะมังกรหยก (Jade Dragon snow mountain) ตั้งอยู่ระหว่างลองจิจูดที่ 100 องศา 4 ลิปดา - 100 องศา 16 ลิปดา ตะวันออก และละติจูดที่ 27 องศา 3 ลิปดา – 27 องศา 40 ลิปดา เหนือ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งธารน้ำแข็งขั้วโลกเหนือ ประกอบด้วย ยอดเขา 13 ยอด หนึ่ง ใน 13 ยอด เขา คือ ยอดเขา ซานจือโตว เป็นยอดเขาที่สูงที่สุด ด้วยความสูงถึง 5600 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภูเขาหิมะมังกรหยก ทอดตัวยาว ถึง 35 กม. และ กว้าง 20 กม. หากมองจากเมืองโบราณลี่เจียง ในทางทิศใต้ ในระยะห่าง 15 กม. จะเห็น หิมะปกคลุม และ หมอก คล้ายกับ มังกรหยกนอนราบในเมฆ จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก นั่นเอง
ที่ราบหยุนซาน ( Yunshan Plateau) ที่ราบหยุนซาน หรือ เรียกได้อีกชื่อว่า หุบเขาวิเศษ เป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังป่า ซึ่งอยู่บริเวณตีนภูเขาหิมะมังกรหยก และล้อมรอบด้วยสนสูงตระหง่าน ที่ราบแห่งนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 3,000 เมตร ทุกๆปีในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ท้องทุ่งจะเต็มไปด้วยต้นหญ้าเขียวชอุ่ม และสีสันของดอกไม้ ในช่วงฤดูใบไม่ร่วงใบไม้ก็จะเปลี่ยนเป็นสีส้ม ในฤดูหนาว ที่ราบแห่งนี้จะถูกปกคลุม ด้วยหิมะ ที่ราบแห่งนี้เกี่ยวข้องกับ ชนกลุ่มน้อย หน่าซี ในการเป็นดังทางเข้าสู่สวรรค์ของพวกเขา เป็นสถานที่ๆ คนจะรัก และ มีอิสระร่วมกัน ตำนานเล่าว่า การตายเพื่อคนรักเกิดขึ้นที่นี่เป็นแห่งแรก เนื่องจากในอดีตนั้น จะมีคู่รัก ที่ถูกกีดกัน มาตายด้วยกันที่นี่ ซึ่งตำนานดังกล่าวได้สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น และดึงดูดให้คู่รัก ได้มาใช้เวลาโรแมนติคร่วมกัน ท่านจะได้เห็นเด็กสาวสวมชุดหลากสีสันออกมาเต้นรำบนที่ราบหรือ ในป่า เด็กสาวเหล่านี้เป็นชนกลุ่มน้อยหน่าซี และ ยี่
วัดอวี้เฟิง(Yufeng Temple) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของตีนเขาหิมะมังกรหยก ห่างจากตัวเมืองโบราณลี่เจียงไปทางเหนือ ประมาณ 13 กม. เป็นวัดหนึ่งของนิกายลามะในลี่เจียง สร้างขึ้นครั้งแรกในปี 1756 ช่วงสมัยเฉียงหลงฮ่องเต้ แห่งราชวงศ์ชิง วัดนี้เคยมีสนามล้อมรอบอยู่ 9 แห่ง แต่ ที่ยังเหลือ อยู่ในปัจจุบัน คือ สนามที่ทางเข้า อาคารหลังหลัก ของวัด บรรยากาศล้อมรอบวัดเป็นสิ่งวิเศษสุดที่พระเจ้าประทานให้ ทั้งภูเขาหิมะ และ ทุ่งหญ้ากว้าง ป่าใหญ่และ แม่น้ำที่ไม่มีวันเหือดแห้งวัดแห่งนี้เป็นสถานที่ผสมผสาน เอาสถาปัตยกรรมของพุทธศาสนาฮั่น ทิเบต และ หน่าซี ต้งป๋า สืบเนื่องจากการหลอมรวมของชนกลุ่มน้อยๆต่างๆ ที่อยู่ต่างๆพื้นที่ในสมัยราชวงศ์ชิงทำให้วัฒนธรรมหน่าซีรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ววัดหยูเฟิง เป็นประจักษ์พยานทางประวัติศาสตร์ของความสงบสุข ของคนต่างวัฒนธรรม และ ศาสนา ของชาวหน่าซีได้เป็นอย่างดี
ทะเลสาบหลู่กู๋(Lugu Lake) อยู่ห่างจากตัวเมืองลี่เจียง ประมาณ 200 กม. ระหว่างบริเวณพรมแดนเมืองหนิงหลาง มณฑลยูนนาน และเมืองหยางหยวน มณฑลเสฉวน ทะเลสาบแห่งสวยงามราวกับไข่มุกที่สะท้อนแสงท่านกลางขุนเขาของที่ราบสูงทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือในมณฑลยูนนาน รูปร่างของทะเลสาบแห่งนี้ เป็นแบบเกือกม้า ทอดตัวยาวจากทางเหนือลงทางใต้ และแคบจากทางตะวันออกถึงตะวันตก ทิวทัศน์ของทะเลสาบเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งวันช่วงเช้า จะมีสายหมอกและแสงแดดสะท้อน ทำให้ทะเลสาบเป็นส้มสะท้อน เมื่อ แสงของอาทิตย์สาดส่องไปยังขุนเขาจะทำให้น้ำในทะเลสาบกลายเป็นสีมรกต และ มืดครึ้มลงในยามเย็น เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้า จะนำมาซึ่งความสงบเมื่อเวลาค่ำมาเยือน ในทะเลสาบมีเกาะอยู่5เกาะขนาดแตกต่างกัน ราวกับ เรือสีเขียวลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ประกอบด้วย เกาะเฮยหว่าอู เกาะหลีอู๋ปี้ หลี่เก๋อ และหนีซี่ ซึ่งเป็นเกาะขนาดเล็กสุด เป็นก้อนหินทรงสี่เหลี่ยมซึ่งมีต้นไม้เล็กๆและมอสขึ้นอยู่
โค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียง (First Bend of the Yangtze River)แม่น้ำแยงซีเกียง เป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำของประเทศจีน เป็นลำน้ำสายใหญ่ที่ไหลลงสู่ตอนกลางของประเทศจีน เป็นหนึ่ง 3 ที่ยาวที่สุดในโลก เริ่มจากที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต กระแสคลื่นแรงของแม่น้ำแยงซีเกียงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ จนไปบรรจบที่ช่องเขาเหิงต้วน ซึ่งอยู่ห่างเมืองลี่เจียงประมาณ 44 ไมล์ นับเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่ไม่ปกติ เป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดโค้งเป็นรูป ตัว V และ ไหลไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ นี่เป็นการหมุนกลับที่ผิดแผกจากธรรมชาติ ในพิเศษของภูมิประเทศดังกล่าวทำให้เกิดทัศนียภาพที่สวยงาม อย่างเช่น แม่น้ำกว้างและ ไหลเอื่อย ต้นวิวโลว์ ขึ้นสองข้างฝั่งแม่น้ำ ทำให้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำ เขียวชอุ่ม พืชผลอุดมสมบูรณ์ เขาสูงชั้น ที่ผุดขึ้น และแตะขอบฟ้า ทำให้ภาพรวมของภูมประเทศแห่งนี้ดูน่ามหัศจรรย์ยิ่งนัก นี้คือโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง ภูมิประเทศที่แปลกประหลาดที่มีชื่อเสียงของโลก
ช่องแคบเสือกระโจน (Tiger Leaping Gorge )อยู่ห่างจากเมืองโบราณลี่เจียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 100 กม. วางตัวระหว่าง ภูเขาหิมะมังกรหยก (เย่อหลง ซื่อซาน) และ ภูเขาหิมะฮาป๋า เป็นช่องแคบที่เชื่อว่าลึกที่สุดในโลก สามารถลึกลงไปถึง 200 เมตร ลักษณะธรรมชาติเช่นนี้ แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรก คือส่วนที่แคบที่สุดเป็นปากแม่น้ำจิ่งซา ตอนกลางของปากแม่น้ำ คือ ก้อนหินขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนที่แคบที่สุด มีความกว้างเพียง 30 เมตรเท่านั้น เล่ากันว่า อดีตนั้นมีเสือตัวหนึ่งได้ใช้ก้อนหินนี้เป็นช่วง รอยต่อจากช่องแคบหนึ่งไปอีกช่องแคบหนึ่ง จึงเป็น ที่มาของชื่อ ช่องแคบเสือกระโจน นั่นเอง
สนใจทัวร์คุนหมิง ลี่เจียง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์คุนหมิง.aspx
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก
www.qetour.com
อ้างอิง: www.travelchinaguide.com,วิกีพีเดียสารานุกรมเสรี,เว็บChina Radio International.CRI
วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555
ตงซวน ภูเขาเจ็ดสี มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
ตงซวน ภูเขาเจ็ดสี มณฑลยูนนาน
จากคำพูดของบุคคลท่านหนึ่ง กล่าวว่า "ต่าหม่าข่านจากเนินดินสูงริมทาง ถือเป็นทิวทัศน์ท้องทุ่งที่เงียบสงบ ด้านซ้ายมือสามารถเห็นภูเขาหิมะที่อยู่ไกลๆ และภูเขาเล็กๆ ที่โผล่ขึ้นกลางแผ่นดินแดง ตรงหน้าด้านขวามือสามารถ ถ่ายภาพหมอกที่ปกคลุมเทือกเขาเป็นชั้นๆ ดวงอาทิตย์สีแดงขึ้นอยู่ระหว่างท้องฟ้าและแผ่นดินดูราวกับอยู่ใกล้กัน ถ่ายภาพหมอก ควันที่ลอยมาจากหมู่บ้าน มีความงดงามที่สุด แผ่นดินแดงผืนใหญ่นี้ดูราวกับเปลวไฟที่เผาผลาญทุ่งหญ้า โดยมีทุ่งนาสีเขียวแต่งเติมให้ดูเด่น บริเวณรอบๆ เพื่อถ่ายภาพริมทาง ในทุ่งนามีป่าไม้และหมุ่บ้าน สลับกับสีแดง สีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีขาว สีเหลือง ขึ้นลงตลอดเนินเขา ประกอบกันเป็นกลุ่มสีก้อนใหญ่ เชื่อมต่อกันไปตลอด มองสุดลูกหูลูกตา เป็นทิวทัศนืที่ทำให้คนประหลาดใจ เดินทางสู่นา ต้นไม้เทพ เล่อผู่อาว และสวนวิจิตร เป็นต้นเพื่อชมทิวทัศน์และถ่ายภาพ รอบๆบริเวณนี้เป็นนาขั้นบันไดที่ใช้ปลูกข้าว มีส่วนที่เหมือนกับนาขั้นบันไดหยวนหยาง แต่มีขนาดเล็กกว่า ในฤดูใบไม้ผลิสามารถถ่ายภาพทิวทัศน์หลังจากการทดน้ำ ฤดูใบไม้ผลิก็เปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ช่วงฤดูที่ดีที่สุดที่เหมาะกับการถ่ายภาพคือตั้งแต่เดือน 5 ถึงเดือน 11 ซึ่งเป็นฤดูแห่งการเก็บเกี่ยว ช่วงนี้พืชไร่ที่ถูกเก็บเกี่ยวกับสีสันที่ต่างกันแห่งแผ่นดินแดง ในนี้จะถูกแต่งเติมด้วยผู้คนที่ กำลังเก็บเกี่ยว ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมีชีวิตให้กับภาพ ส่วนในฤดูอื่นก็มีสีเขียวของพืชไร่กับเส้นทางที่สวยงามของแผ่นดินแดง โดยเฉพาะเดือน 8 และเดือน 9 แปลงดอกผักน้ำมันกับดอกมัสตาร์ดผืนใหญ่กับอากาศในวันฟ้าปลอดโปร่งและฝนตกผสมกลมกลืนกัน ประกอบเป็นภาพที่มีสีสันของการเปลี่ยนแปลงเป็นผืนๆ ต่อกัน"
ตงชวน (Dongchuan) หรือ หงถู่ตี้ (Hongtudi) แปลว่า แผ่นดินสีแดง เป็นอำเภอที่อยู่ในเขตปกครองของจังหวัดคุนหมิง อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของมณฑลยูนนาน มีภูมิประเทศเป็นทิวเขาสลับซับซ้อน ชาวบ้านประกอบอาชีพปลูกข้าวสาลีมันสำปะหลัง พืชผัก และดอกไม้นานาพันธุ์ ในเดือนกันยายน จะเป็นช่วงที่ดอกมัสตาร์ดและดอกไม้หลากหลายพันธุ์บาน ทำให้เกิดสีสันมากมายของดอกไม้ตัดกับดินสีแดงเข้ม สลับกับสีท้องฟ้าสีฟ้าใสของฤดูใบไม้ร่วงเดือนนี้จึงเป็นเดือนที่สวยที่สุดอีกเดือนหนึ่งในการมาเยือนแผ่นดินสีแดงนี้
ตงซวน เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมักแวะมาถ่ายรูป เนื่องจากมีภูมิประเทศที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของมณฑลยูนนาน ชาวบ้านแถวนั้นเล่าให้ฟังว่า มีช่างภาพชาวจีนที่มีชื่อ(จำไม่ได้ว่าชื่ออะไร) ตั้งใจจะไปถ่ายรูปที่หยวนหยาง แต่ระหว่างทางได้ผ่านมาที่ตงชวนก่อน และพบว่าทิวทัศน์ที่นี่งดงาม เนื่องจากมีพื้นดินเป็นสีแดง เมื่อชาวบ้านปลูกข้าวสาลี ,มัสตาร์ด ยิ่งทำให้ภูเขาสวยงามหลากสีสัน โดยเฉพาะในยามเช้าและยามเย็นมีถูกทาบทาด้วยแสงอาทิตย์ ยิ่งมีความสวยงามเป็นเอกลักษณ์ของดินแดงแห่งนี้ ช่างภาพใช้เวลานานที่ นี่ถึง 4 ปี เมื่อรูปของเค้าได้เผยแพร่ออกไป ทำให้ตงชวนได้ถูกกล่าวถึงและเป็นบริเวณที่นักถ่ายภาพทั้งชาวจีนและชาวต่าง ชาติต่างแวะเวียนมาที่นี่กันเป็นประจำ
• หุบเขาลั่วเสียโกว ทุ่งนาจันทรา ต้นไม้เทพยดา : ที่นี่ยังมีนาขั้นบันไดที่สามารถเพาะปลูกข้าวนาน้ำได้ มีบางส่วนเหมือนนาขั้นบันไดหยวนหยาง แต่มีขนาดเล็กกว่า ฤดูใบไม้ผลิสามารถถ่ายภาพบรรยากาศหลังจากการทดน้ำเข้านาได้ ฤดูใบไม้ร่วงกลับเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองเป็นฤดูที่เหมาะสมที่สุดในการถ่ายภาพแผ่นดินสีแดง คือเดือน 5 ถึงเดือน 11 ซึ่ง เป็นฤดูเก็บเกี่ยว เป็นช่วงเวลาที่ธัญพืชซึ่งเพิ่งถูกเก็บเกี่ยวในท้องนาผืนใหญ่กับแผ่นดินสีแดงประกอบกันขึ้นเป็นกลุ่มสีที่มีรูปร่างแตกต่างกัน แต่งแต้มด้วยกลุ่มคนที่กำลังเก็บเกี่ยว
ตงชวน หรือ Red land ตั้งอยู่ในเขตเมืองตงชวน ทางตอนเหนือของคุนหมิง ในเขตพื้นที่ชนบทอันห่างไกลจากสาธารณูปโภคทั้งหลาย หากใครคิดจะมาทัวร์ตงชวน ก็ต้องเตรียมใจไว้ล่วงหน้าเลย สำหรับความไม่สะดวกสบายในการเดินทางท่องเที่ยว ... ตงชวน พื้นแผ่นดินที่เป็นเนื้อดินสีแดงเกิดจากการออกซิไดซ์ของธาตุเหล็ก และแร่ธาตุอื่นๆในเนื้อดิน พื้นที่บริเวณนี้จึงเกิดเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม สีสันสดใสน่าสนใจ พืชผักที่ปลูกในบริเวณพื้นที่นี้ ได้แก่ พวกมันฝรั่ง ข้าวโอ๊ต ข้าวโพด และอื่นๆ สีสันของพืชผักพวกนี้ อีกทั้งขนาดของต้นที่แตกต่างกันไป ก็ทำให้เกิดภาพที่สวยงาม แปลกตา และเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว พื้นดินสีแดงฉาน ก็เผยโฉมออกมาให้เห็น เป็นความสวยงามไปอีกแบบ
ในช่วงเดือนกันยายน ดอกไม้สีขาว (ปลูกเพื่อเอาน้ำมันสกัด) จะเบ่งบานเต็มภูเขา ก็จะมองไม่เห็นพื้นดินสีแดงเลย ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการท่องเที่ยวสถานที่นี้ คือ ช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม สีสันจัดจ้านของพื้นดินจะเปล่งประกายช่วงเวลาก่อนพระอาทิตย์ตกดิน
บางครั้งคำบอกเล่าหลายอย่าง จากหลายๆ ที่ ก็ไม่อาจทำให้เราเข้าใจ และนึกเห็นภาพตามได้ นอกเสียจากเราจะไปเห็นด้วยตาของเราเอง ว่าสถานที่เหล่านั้น สวยงาม สมดั่งคำเล่าลือหรือไม่ และบางครั้งเมื่อเราเห็น และถ่ายภาพๆ นั้น อาจไม่ต้องสรรหาคำบรรยายมากมายมาเพื่อบ่งบอกเกี่ยวกับรูปภาพหลายๆ ภาพ แต่เพียงแค่เรามองภาพเหล่านั้น มันอาจทำให้เรารู้ซึ้งถึึงความรู้สึก ความหมาย และความสวยงามได้ โดยไม่ต้องพึ่งคำพูด หรือคำบรรยายใดๆ เลย ดั่งคำพูดประโยคหนึ่งที่เราเคยได้ยินมาว่า "สวยไม่มีคำบรรยาย" คงอาจจะใช้กับสถานที่แห่งนี้ได้
สนใจทัวร์คุนหมิง ตงชวน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์คุนหมิง-ตงชวน-เจี้ยวจื่อซาน.aspx
ขอขอบคุณข้อมูล และถาพสวยๆ จาก
1. tour.hotsia.com
2. www.painaima.com
คุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน
คุนหมิง (Kunming) เป็นเมืองเอกในมณฑลยูนนานในสาธารณรัฐประชาชนจีน มีจำนวนประชากรประมาณ 3,740,000 คน โดยมีประมาณ 1,055,000 คนที่อาศัยอยู่ในเขตเมือง ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลสาบเตียนฉือด้านทิศเหนือ ด้วยประวัติศาสตร์ กว่า 2400 ปี และการที่เป็นประตูสู่เส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางการค้า สู่ ทิเบต เสฉวน พม่า และ อินเดียในอดีต ตลอดกับปัจจุบันนี้คุนหมิงเป็นศูนย์กลางทางการเมือง เศรษฐกิจ และ วัฒนธรรม รวมไปถึง การคมนาคม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของมณฑลยูนนาน และส่งผลให้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวทางตอนตะวันตกเฉียงใต้ของจีน และเนื่องจากมีอากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี จึงถูกขนานนามว่า "นครแห่งฤดูใบไม้ผลิ"
สถานที่ท่องเที่ยวของเมืองคุนหมิง ที่เป็นที่นิยมของทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติ ได้แก่
ประตูมังกร เขาซีซาน
คนจีนกล่าวไว้ว่ามาถึงคุนหมิงจะต้องไปลอดประตูมังกร เมื่อลอดแล้วฐานะจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเท่า มีตำนานเล่ากันมาว่า ในสมัยก่อนแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดคือแม่น้ำเหลืองจะมีปลาหลีหือซึ่งเป็นปลาประจำชาติของจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งเกิดน้ำท่วมทำให้ปลาไหลไปอยู่ตามแม่น้ำสายอื่น เมื่อปลาไปอยู่แม่น้ำอื่นปลาไม่ชินกับคุณภาพน้ำจึงมีความพยายามว่ายทวนน้ำเพื่อกลับไปอยู่ในแม่น้ำเหลืองของปลา ท่านเลยสั่งให้ไปสร้างประตูตรงแม่น้ำเหลือง ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามประตูได้ ท่านก็จะให้เป็นมังกร ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามไม่ได้ ก็ต้องไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ปลาก็เลยมีความพยายามไปกระโดดข้ามประตูเพื่อเป็นมังกร เลื่อนจากปลาเป็นมังกรถือว่าฐานะของปลาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ดังนั้นประตูมังกรเหมือนเป็นการสอนคนจีนมาโดยตลอด คือเมื่อเรามีความพยายามก็จะประสบความสำเร็จ
อุทยานป่าหินยูนนาน
ตั้งอยู่ในอำเภอสือหลินเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนานของจีน ห่างจากตัวเมืองคุนหมิง 78 กม. มียอดหินและเสาหินใหญ่น้อยตั้งเรียงรายกระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขา หุบเขา และในพื้นที่ราบ ป่าหินแห่งนี้จัดว่าเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ภายในป่าหินมีทางแยกมากกว่า 400 สาย มีจุดท่องเที่ยวกว่า 200 จุด จึงได้สมญานามว่า "วังวนใต้ทะเล" หินลักษณะสวยงามแปลกตาเหล่านี้ล้วนเป็นหินปูนที่แต่เดิมอยู่ใต้ผิวน้ำและเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกหินเหล่านี้จึงถูกดันให้โผล่ขึ้นเหนือผิวน้ำกลายเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามโดดเด่นป่าหินแห่งนี้ประมาณกันว่า มีอายุราว 270 ล้านปี
ทะเลสาบเตียนฉือ (Dianchi Lake) มีพื้นที่ 300 ตร.กม. เป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมณฑลยูนนาน และใหญ่เป็นอันดับ 6 ของจีน ด้วยทัศนียภาพ และตั้งอยู่บนที่ราบหยุนกุ้ย ทำให้ทะเลสาบแห่งนี้ได้ชื่อว่า ที่ราบไข่มุก ทะเลสาบนี้มีรูปร่างคล้ายพระจันทร์เสี้ยว ยาว 39 กม. และกว้าง 13 กม. ในจุดที่กว้างที่สุด มีภูเขาล้อมรอบ 4 ด้าน และแม่น้ำกว่า 20 สาย รวมระยะยาวตลอดชายฝั่ง ถึง 163.2 กม. เนินเขาที่ล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ประกอยด้วยทัศนียภาพภูมิประเทศที่สวยงาม ทำให้นักท่องเที่ยว รู้สึกเบิกบานใจ และ อยากชื่นชมความงามของธรรมชาติในที่แห่งนี้อย่างไม่อยากจะจากไป หากคุณล่องเรือ รอบๆทะเลสาบคุณจะได้สัมผัสทั้งความงามของธรรมชาติและเรียนรู้ถึงต้นกำเนิดวัฒนธรรมยูนนาน
วัดทอง (Golden Temple) ตั้งอยู่บนยอดเขาหมิงเฟิง เป็นวังของ ไท่เหอ เจ้าลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นวัดทองแดงที่ใหญ่ที่สุดในจีน รู้จักกันในชื่อทงวา แต่ที่รู้จักกันมากที่สุดคือ วัดทอง วัดนี้สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงและรัชสมัยฮ่องเต้ว่านหลี่ ในปี 1602 ในช่วงนั้นข้าหลวงผู้ซึ่งเคร่งครัดในลัทธิเต๋า ได้สร้างวัดนี้ขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าจื่อซื่อ ตามตำนาน ว่า จื่อซื่อมีตำหนักทองอยู่ทางปลายสุดทางด้านเหนือของจักรวาล แต่ตำหนักทองหลังนี้ตั้งอยู่ได้ไม่นาน เพียง 35 ปี ต่อมา ในปี 1637 วัดดั้งเดิมทั้งหมด ได้ถูกย้ายไปตั้งที่เขาฉือซู่ เขาทางด้านตะวันตกของมณฑลยูนนาน 3 ทศวรรษต่อมา ในปี 1671 ในช่วงราชวงศ์ชิง หู ซานกุ้ย ข้าหลวง มณฑลยูนนาน ได้สร้างวัดนี้ใหม่อีกครั้งในรูปแบบดั้งเดิม วัดแห่งนี้ตั้งอยู่ได้นานถึง 200 ปี จนกระทั่ง เกิดกบฏ ปี 1857 ซึ่งเป็นเหตุให้วัดทองนี้ได้รับความเสียหาย
ต่อมาในปี 1890 จักรพรรดิ กวางซู่ได้สั่งให้ ซ่อมแซม โดยใช้ ก้อนทองสำริดถึง 250 ตัน ในการบูรณะวัดทั้งหลัง ยกเว้นในส่วนของขั้นบันได และราวระเบียง ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน กำแพง เสา คาน หลังคา กระเบื้อง แท่นบูชา พระพุทธรูป กำแพงรอบๆภายในวัดตกแต่งด้วยทองแดงดูแวววาวดั่งทอง คนจึงเรียกว่า วัดทองนั่นเอง นับแต่การบูรณะในครั้งนั้นวัดทองแดงแห่งนี้ได้ตั้งอยู่ที่สูงสุดของเนินเขาหมิงเฟิง ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี และถือเป็นศาลเจ้าลัทธิเต๋าที่ขึ้นชื่อของมณฑลยูนนาน
วัดหยวนทง(Yuantong Temple) ตั้งอยู่บริเวณตีนเขาหยวนทง ทางตอนเหนือของเมืองคุนหมิง ด้วยประวัติศาสตร์ยาวนานถึง 1200 ปี วัดหยวนทงนี้เป็นวัดพุทธที่ใหญ่และสำคัญที่สุดของมณฑลยูนนาน ฮ่องเต้ อวี้เหม่าซุน แห่งราชอาณาจักรหนานโจว ได้สร้างวัดนี้ขึ้น ระหว่าง ศตวรรษที่ 8 และ ซึ่งต่อมาเป็นวัด ผู่โถวเหลา แต่เมื่อมีการบูรณะอีกครั้งในสมัยราชวงศ์ชิง ก็กลับมาใช้ชื่อหยวนทงเหมือนเดิม โดยเป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานรูปแบบของหยวนและหมิง สืบเนื่องเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันภายในวัดตกแต่งร่มรื่นสวยงาม กลางลานมีสระน้ำขนาดใหญ่ มีสะพานข้ามไปสู่ศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระ ด้านหลังวัดเป็นอาคารสร้างใหม่ ประดิษฐานพระพุทธรูป พระพุทธชินราช(จำลอง) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน ให้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ ที่วัดแห่งนี้
ถ้ำจิ่วเซียง Jiu Xiang เป็นถ้ำหินงอกหินย้อยที่สวยงามตระการตามาก เป็นถ้ำมหัศจรรย์ของจีนที่สวยงามมากและเป็น 1 ใน 10 สถานที่สำคัญทางธรรมชาติของมณฑลยูนาน ถ้ำนี้เกิดจากการกัดเซาะของภูเขาไฟโบราณ จนเกิดเป็นโพรงถ้ำขนาดยาว 3-4 กิโลเมตรช่วงแรกจะเดินผ่านไปทางเส้นทางที่ขนานไปกับภูเขาสูง เข้าชมความงามภายในถ้ำจิ่วเซียง ที่ประกอบด้วยหินงอกหินย้อยที่สวยงามรูปร่างแปลกตาเต็มไปด้วยสีสันสวยงาม สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดภายในถ้ำนี้ก็คือตอนกลางของถ้ำจะมีลำน้ำทั้งสายลงมาจากหน้าผาตกลงมาเป็นน้ำตก 2 สาย เรียกกันว่า น้ำตกผัวเมีย เป็นน้ำตกใหญ่และตกอยู่กลางระหว่างถ้ำเป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก สมกับคำกลอนที่ว่า บนดินชมป่าหินงาม ใต้ดินชมจิ่วเซียง
สนใจทัวร์คุนหมิง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์คุนหมิง.aspx
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก
1. www.qetour.com
2. www.wonderfulpackage.com
วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555
อู่ฮั่น ประเทศจีน
อู่ฮั่น
อู่ฮั่น (Wuhan, หวู่ฮั่น) เมืองเอกของมณฑลหูเป่ย (Hubei) และเป็นเมืองใหญ่สุดในมณฑลเหอเป่ย์ มีพื้นที่ 8,467.11 ตร.กม.มีประชากรประมาณ 8.1 แสนคน เป็นที่ตั้งของท่าเรือใหญ่ที่สุดของ แม่ย้ำแยงซีเกียงตอนล่าง มีประวัติยาวนานกว่า 3,500 ปี เป็นที่ตั้งของท่าเรือที่ใหญ่ที่สุดของแม่น้ำแยงซีตอนล่าง เมื่อก่อนมีชื่อเสียงในการผลิตอาวุธสงครามปัจจุบันสินค้าที่สร้างรายได้คือ อาวุธ เครื่องจักร น้ำมันพืช เป็นต้น
เมืองอู่ฮั่น เป็นผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์เพราะมีแม่น้ำสำคัญ 2 สายไหลผ่าน คือ แยงซีเกียง และ ฮั่นซุย อาหารเด็ดของที่นั่นจึงเป็นเมนูที่ทำจาก “ปลาอู่ชัง”
อากาศโดยทั่วไปก็เหมือนบ้านเรา ร้อนอบอ้าว ทั้งๆ ที่มีหมอกลง เพราะเป็นเมืองใกล้แม่น้ำสายใหญ่ ถ่ายรูปยังไง๊ ฟ้าก็ไม่มีสีฟ้า แถมยังได้ชื่อว่าเป็น เมืองเตาไฟ เพราะเคยร้อนสุดถึง 40 องศา!
ตามรอยสามก๊กที่ ผาแดง หรือ ชื่อปี้ ตั้งอยู่ห่างจากเมืองชื่อปี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 36 กิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีด้านใต้ ที่จริงแล้วชื่อเดิมคือเมือง “ผูฉี” อยู่ในมณฑลหูเป่ย เพิ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “ชื่อปี้” เมื่อปี ค.ศ.1998 ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ในสงครามรบนั่นเอง จุดที่ทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่ผนึกกำลังเข้าสู้ รบกับทัพของโจโฉซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นบริเวณที่ตรงตามประวัติศาสตร์มากที่สุด สงครามครั้งนั้นทำให้หน้าผาแห่งนี้ปรากฏเป็นสีแดงเพลิง ปัจจุบันผาแดงแห่งนี้ กำลังพัฒนาให้ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์มีสิ่งปลูกสร้างตามประวัติศาสตร์ เช่น แท่นเรียกลม หอบัญชาการรบ ฐานทัพของง่อก๊ก ส่วนอีกด้านหนึ่งกำลังอยู่ ระหว่างการก่อสร้างเมืองจำลองของเล่าปี่ โดยเอกชนเป็นผู้ดำเนินการ เริ่มสร้างเมื่อปี 2007 และมีกำหนดเสร็จในเดือนตุลาคม 2009
หอหวงเห่อโหลว (Huang He Lou) หรือ “หอนกกระเรียนเหลือง” (Yellow Crane Tower) หอที่สวยที่สุดใน อู่ฮั่น และสวยที่สุดติด 1 ใน 3 ของจีน หอสูง 5 ชั้น สร้างเมื่อปี ค.ศ.223 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฉางเจียง ทางตะวันตกของเมืองอู่ชัง ในยุคสมัยสามก๊ก โดยเชื่อว่าผู้สร้างคือซุนกวงซึ่งอยู่ในช่วงยัง ไม่ได้สถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งง่อก๊กใช้เป็นหอสังเกตการณ์ข้าศึก ผ่านการบูรณะซ่อมแซมความเสื่อมโทรมของหอเรื่อยมา มีการสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ได้รับการบูรณะอย่าง จริงจังถึง 4 ครั้ง ภายในหอตกแต่งด้วยกระเบื้องรูปนกกระเรียน
มีตำนานกันถึง หอนกกระเรียน ว่าเดิมที่ตรงนี้เป็นร้านเหล้า วันหนึ่งเจ้าของร้านได้เลี้ยงเหล้านักพรตท่านหนึ่ง นักพรตจึงตอบแทนด้วยการใช้เปลือกส้มวาดรูปนกกระเรียนสีเหลืองที่ผนังร้าน อัศจรรย์ตรงที่เมื่อมีเสียงปรบมือ นกกระเรียนในภาพจะออกมาร่ายรำ เป็นที่ล่ำลือจนกิจการร้านนี้ดีขึ้น และหลายปีต่อมา นักพรตกลับมาเยือนที่ร้านอีกครั้ง และขี่นกกระเรียนบินจากไป ด้วยความรำลึกถึง เจ้าของร้านเหล้าจึงสร้าง หอนกกระเรียนนี้ขึ้น
ปัจจุบันเป็นหอที่สร้างใหม่ในลักษณะอาคารแบบดั้งเดิม เป็น 1 ใน 3 หอสวย ที่มีชื่อของจีน (หอเอี้ยหยาง มณฑลหูหนาน หอเถิงหวังเก๋อ มณฑลเจียงซี) จัดเป็นหอแสดง งานเขียนอักษรจีนและจิตรกรรม และยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำแยงซีเกียงของชาวเมืองอีกด้วย
พิพิธภัณฑ์อู่ฮั่น เป็นพิพิธภัณฑ์ขนาดใหญ่ระดับมณฑล จัดแสดงโบราณวัตถุล้ำค่า ที่ขุดค้นพบจากสุสาน กว่า 200,000 ชิ้น ส่วนมากเป็นเครื่องทองสัมฤทธิ์ เช่น ระฆังราว เสื้อหยก ที่ขุดพบที่หม่าหวางตุย กลองสัมฤทธิ์ โถ จอก เหล้า ตะเกียง เครื่องประดับ และเครื่องสัมฤทธิ์อื่นๆ มากมาย โดยเมื่อเคาะจะได้ยินเสียงกังวานไพเราะ ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีช่างคนใดสามารถหล่อระฆังเช่นนี้ได้
พื้นที่ของ พิพิธภัณฑ์มณฑลหูเป่ย แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนของนิทรรศการ และส่วนของการแสดงดนตรี ในส่วนนี้ความพิเศษอยู่ที่ความไพเราะของ ระฆังเปียนจง เครื่องดนตรีที่แฝงไปด้วยประวัติศาตร์
วัดกุยหยวน (Guiyuan Temple) วัดในปลายสมัยราชวงศ์หมิง ภายในมีรูปปั้นอรหันต์และเหล่าสาวกในอิริยาบถแตกต่างกัน วิหารหลังใหญ่เป็นที่ประดิษฐานเจ้าแม่กวนอิมและพระอรหันต์ 500 องค์ปั้นจากดินเหนียวเคลือบด้วยสีทอง โดยทางวัดไม่อนุญาตให้จุดธูปภายในวัด
สะพานข้ามแม่น้ำแยงซี (Wuhan Yangtze Great Bridge)ของ อู่ฮั่น ซึ่งมีทั้งหมด 7 สะพาน และ 1 อุโมงค์ ที่สำหรับใช้ข้ามแม่น้ำสายยักษ์ ต้องบอกว่ากว้างใหญ่กว่าเจ้าพระยาบ้านเราหลายเท่า สะพานนี้ถือเป็น สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีแห่งแรก สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี 1957 รวมความยาว 1.6 กิโลเมตร เป็นสะพานสองชั้น ชั้นบนเป็นถนน 4 เลน ชั้นล่างเป็นทางรถไฟรางคู่ เดิมทีแผนการสร้างสะพานจะมีขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1910 แต่จากสภาพเศรษฐกิจ สงครามโลกครั้งที่สองและสงครามกลางเมืองทำให้แผนการต้องเลื่อนออกไปจนกระทั่งเดือนกันยายนปี 1955 จึงได้เริ่มสร้างสะพาน
เห็นสะพานและถนนเส้นต่างๆ ของพี่จีน ต้องยอมรับว่าสวยจริงๆ ช่วยให้บ้านเมืองเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก และแม้เทคโนโลยีจะโตแค่ไหน แต่ต้นไม้บ้านเขาก็โตตามด้วย ทุกมุมทุกหย่อมของถนนจะมีสีเขียวแฝงให้เรารู้สึกสบายตาเสมอ
ทิ้งท้าย อู่ฮั่น หนึ่งสีสันแห่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ด้วย วิถีเล็กๆ ชีวิตยามเช้าของชาว อู่ฮั่น
คนส่วนใหญ่ที่ประเทศจีนนิยมอยู่คอนโด หรือ บางแห่งก็หน้าตาประมาณแฟลตบ้านเรานี่แหละ เหตุเพราะพื้นที่ทั้งหมดเป็นของรัฐ และไม่มีอาคารใดที่คงอยู่ถาวร บางแห่งจะมีเลขติดไว้ที่ตัวตึกเลย เช่น 70 ก็หมายถึง ตึกนึ้จะถูกทุบทิ้ง เมื่ออายุครบ 70 ปี โดยที่รัฐบาลอาจมีโครงการปรับเปลี่ยนไปสร้างอย่างอื่นที่คิดว่าสำคัญ หรือเหมาะสมแทน และจะมีการแจ้งลูกบ้านให้ทราบตั้งแต่เข้าอยู่ และหาที่อยู่ใหม่ให้ก่อนจะทำลายทิ้ง นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ชาวอู่ฮั่นอยากจะออกจากห้องสี่เหลี่ยม มาสูดอากาศภายนอก ตั้งสมาคม พูดคุยกันตามสวนสาธารณะ (สวนสาธารณะบ้านเขาค่อนข้างเยอะมาก ที่หนึ่งรัฐบาลจัดไว้ให้ทอดยาวขนานกับแม่น้ำ)
สะพานลอยที่ อู่ฮั่น จะไม่ค่อยชัน และส่วนใหญ่จะแบ่งเป็นฝั่งขั้นบันได และพื้นเรียบ เพื่อให้จักรยาน หรือ รถเข็นคนพิการใช้สัญจรได้ ถือเป็นแนวคิดที่ดี เราจึงไม่แปลกใจว่าชาวเมืองนี้รักการเดินและสุขภาพแข็งแรงมาก
บรรยากาศยามเช้า บริเวณถนนเจียงฮั่น อารมณ์คล้ายๆ ห้างแบบเปิด เพราะสองข้างทางจะเรียงรายด้วยร้านขนม ร้านเสื้อผ้าแบรนด์เนมต่างๆ ยามเช้าก็เป็นที่สมาคมของคนทุกวัย แต่จะหนักไปทางผู้สูงอายุ ส่วนยามค่ำคืนก็คึกคักด้วยแสงไฟ และตลาดนัด
มาถึงสีสันยามเช้า ที่มีแทบทุกมุมถนน อย่าง บะหมี่กานเย่อเมี่ยน เป็นอาหารยอดฮิตและขึ้นชื่อของ อู่ฮั่น ไปที่นี่ต้องลอง แต่ลองแล้วอาจไม่ถูกปากคนบ้านเราเท่าไหร่นัก เพราะมันเผ็ดแปลกๆ บอกไม่ถูก ส่วนผสมก็ผักนั่นผักนี่ ราดน้ำเผ็ดๆ อันเป็นเอกลักษณ์ พี่เขากินกันอย่างออกรส จะให้ถึงวิถีแท้ต้องกินคู่กับปาท่องโก๋ยักษ์ ต่อคิวกันยาวมาก บางคนถึงกับรอไม่ไหว ซัดปาท่องโก๋ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว! โต๊ะที่ร้านก็คือเก้าอี้นี่แหละ ง่ายๆ ไวๆ เพราะเวลามีไม่เยอะ อิ่ม สะดวก แถมทันเวลาเข้างานพอดี
แล้วพบกันใหม่ตอนหน้านะค่ะ วันนี้ราตรีสวัสดิ์ค่ะ......Z z z z z z z z z z z z z
ขอขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆ จาก
1. www.thaibizchina.com
2. www.oceansmile.com
3. travel.mthai.com
4. www.wonder12.com
5. www.abroad-tour.com
มหานครฉงชิ่ง ประเทศจีน
มหานครฉงชิ่ง
โลกของเราทุกวันนี้มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หายสิ่งหลายอย่างมีการพัฒนาขึ้นตามยุคสมัย ไม่เว้นแต่ประเทศไทย และอีกหลายๆ ประเทศ ทุกมุมของโลก
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างปัจจุบันทันด่วน บรรดาเมืองใหญ่-น้อยต่างๆ ในประเทศจีน ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา “ฉงชิ่ง” นับเป็นหนึ่งในเมืองที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วฉับไว รวดเร็วชนิดที่หากใครเว้นว่างจากการไปเยือนเมืองนี้ 7-8 ปี กลับไปอีกที อาจจะจำหลายๆ ย่าน หลายๆ มุมในเมืองนี้ไม่ได้ เพราะมันเปลี่ยนไปชนิดที่แทบจะพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันเลยทีเดียว
ฉงชิ่ง 1 ใน 4 มหานคร “ฉงชิ่ง”(Chongqing) เดิมเป็นเมืองเอกที่ขึ้นกับมณฑลเสฉวน แต่ด้วยชัยภูมิที่ตั้งที่เหมาะสม และเป็นเมืองที่มีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก (ปัจจุบันมีกว่า 30 ล้านคน) ในปี ค.ศ.1997 รัฐบาลจีนได้ประกาศยกฐานะฉงชิ่งเป็น 1 ใน 4 มหานครของเมืองจีน ที่นอกจากฉงชิ่งแล้ว ก็มี เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง และ เทียนสิน ขึ้นต่อรัฐบาลกลางจีนโดยตรง นั่นจึงทำให้ฉงชิ่งมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมหานครใหญ่อันดับต้นๆ ที่มีฐานะและความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจดีเยี่ยม อีกทั้งยังเป็นฮับสำคัญที่จะเชื่อมโยงไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ และเมืองใหญ่ๆ ของจีนตอนล่าง โดยล่าสุด ทางสายการบินแอร์เอเชีย ได้เปิดเส้นทางบิน “กรุงเทพฯ-ฉงชิ่ง” ขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางคมนาคม เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว การค้า และด้านอื่นๆ
สำหรับความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของฉงชิ่งนั้น นอกจากจะดูได้ทั่วไปในเมืองใหญ่เมืองนี้แล้ว สิ่งที่เมืองฉงชิ่งเขาภูมิใจนำเสนอ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความก้าวล้ำของเมืองนี้ ก็คือ ที่พิพิธภัณฑ์ประจำเมืองที่อยู่ติดใกล้ๆ กับท่าเรือเฉาเทียนเหมินแห่งแม่น้ำแยงซีเกียง โดยงานนี้ พาไปดูไฮไลต์สำคัญของเมืองนี้ นั่นก็คือ โมเดลการวางผังเมือง ที่ย่อส่วนลงมาให้เราเห็นเมืองฉงชิ่งได้ถนัดตาขึ้น ว่า เมืองนี้ภายหลังจากการสร้างเมืองเป็นมหานครทางรัฐบาลจีนได้เนรมิตสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขึ้นมา โดยใช้วิธีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบมีการสร้างโมเดลประกอบ เพื่อกำหนดย่าน-โซนต่างๆ ของเมืองไว้อย่างชัดเจน
ในผังเมืองจำลองนี้เรายังได้เห็นถึงกายภาพของเมืองฉงชิ่ง ที่มีลักษณะเป็นแอ่งกระทะในหุบเขา มีแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ “แม่น้ำเจียหลิง” หรือ เจียหลิงเจียง (สายรอง) ที่ไหลมาจากจิ่วไจ้โกวมารวมกับ “แม่น้ำแยงซีเกียง” ที่เมืองนี้ พูดถึงแม่น้ำแยงซีเกียงแล้ว ฉงชิ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญของการล่องเรือสำราญท่องเที่ยวสัมผัสทัศนียภาพ 2 ฟากฝั่งของลำน้ำสายนี้โดยไปสิ้นสุดตามเมืองต่างๆ ตามระยะล่องใกล้ไกล ซึ่งนี่ถือเป็นหนึ่งในจุดขายทางการท่องเที่ยวสำคัญของเมืองนี้
ขณะที่ใครที่ไม่ได้ล่องเรือ ในยามค่ำคืนที่นี่ก็มีกิจกรรมล่องเรือชมทัศนียภาพของแสงสีไฟยามราตรีในแม่น้ำประจำเมือง 2 สาย โดยสิ่งที่เขาภูมิใจนำเสนอ ก็คือ แสงสีแห่งความทันสมัยจากสิ่งก่อสร้างของเมืองนี้ ซึ่งหากใครอยากจะออกทัศนาเมืองนี้ ฉงชิ่งก็มีจุดสนใจชวนชม ชิม ช้อป อาทิ “สมาคมหูกว่าง” เป็นสถานที่เก่าแก่ที่บอกเล่าความมาเป็นไปต้นกำเนิดเมืองนี้ในยุคโบราณ ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงในลักษณะพิพิธภัณฑ์, “ศาลามหาประชาคม” (ต้าหลี่ถัง) หนึ่งในสัญลักษณ์ประจำเมือง
“เมืองโบราณ” เมืองเก่าในราชวงศ์ซ่ง ที่อนุรักษ์ไว้ให้นักท่องเที่ยวได้ยล, “หงหยาต้ง” คอมเพล็กซ์ในรูปทรงอาคารโบราณขนาดใหญ่ ภายในมีร้านค้า ร้านอาหาร โรงแรม ร้านขายสินค้าที่ระลึก ฯลฯ ที่นี่ย่ามค่ำคืนถือเป็นจุดนัดพบพักผ่อนของชาวเมือง และจุดชมวิวชั้นดี อีกทั้งยังเป็นจุดถ่ายรูปที่สำคัญของนักท่องเที่ยวอีกด้วย
นอกจากนี้ ฉงชิ่ง ยังมี ถนนคนเดิน “เจี่ยฟังเป่ย” แหล่งชอปปิ้งสินค้าหลากหลายทั้งของที่ระลึก สินค้าแบรนด์เนม และของกินสารพัดอย่าง เหมาะกับพฤติกรรมนักช้อปของคนไทยไม่น้อย ต้าจู๋ ผาหินแกะสลัก นอกจากสิ่งน่าสนใจในตัวเมืองแล้ว ออกนอกเมืองไป ฉงชิ่งยังมีแหล่งท่องเที่ยวสำคัญในระดับมรดกโลกในสัมผัสกัน เริ่มด้วย “ต้าจู๋” หน้าผาหินแกะสลัก ที่ตั้งอยู่ ณ อ.ต้าจู๋
ผาหินแกะสลักในต้าจู๋มีจุดที่เป็นไฮไลท์ที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่อลังการที่สุดและสวยที่สุดนั้นอยู่ที่ “เป๋าติ่ง” ผาแกะสลักเป๋าติ่ง เริ่มสร้างตั้งแต่ในสมัยราชวงศ์ซ่งไปจนถึงสมัยราชวงศ์ชิง โดยผู้สร้างคนแรกเป็นพระชื่อ “เจ้า ซื่อ เฟิ่ง” ที่เริ่มออกบวชตั้งแต่ 5 ขวบ
ภาพแกะสลักที่นี่ส่วนใหญ่เป็นประติมากรรมนูนสูง ที่แกะกว้านลูกลงไปจนเห็นรูปลักษณะชัดเจน อุดมไปด้วยชีวิตชีวา และลีลาความสวยงาม อีกทั้งยังมีการลงสีสันหลากหลาย แถมบางจุดยังมีประติมากรรมลอยตัวให้ยลกันอีกต่างหาก ทั้งนี้ คนโบราณเชื่อว่า เป๋าติ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์จึงมีการแกะสลักขึ้นที่นี่ เพื่อให้เป็นศาสนสถาน ซึ่งมีทั้งความเชื่อของพุทธแบบมหายานและของลัทธิเต๋า โดยมีภาพเด่นๆ อาทิ ถ้ำปฏิบัติธรรม ที่แกะเป็นภาพพระตัวแทนพระพุทธเจ้ากับสาวกอีก 12 รูป แสดงธรรม ภาพสลักเทพเจ้าต่างๆ พระนอนองค์โตยาว 32 เมตร สูง 7 เมตร ภาพคำสอนขงจื้อ ภาพนิทานพื้นบ้าน ภาพวิถีชีวิตยุคโบราณ ภาพความเชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ภาพการตัดสินของคณะกรรมการตัดสินความดีความชั่วว่าเมื่อตายแล้วคนๆ นั้น ควรขึ้นนรกหรือสวรรค์ ซึ่งมีภาพประกอบเป็นนรกสวรรค์อย่างน่ายล
และภาพไฮไลต์อยู่ที่รูปเจ้าแม่กวนอิมพันมือที่แกะสลักได้อย่างวิจิตรน่าทึ่ง เพียงแต่ว่าช่วงนี้อยู่ในระหว่างปรับปรุง จึงทำให้ให้ไม่ถนัดและยากต่อการหามุมบันทึกภาพ ด้วยความวิจิตอลังการ และความเพียรพยามอันเป็นเลิศของคนโบราณในการเนรมิตผาหินแห่งนี้ให้กลายมาเป็นแดนธรรมอันน่าทึ่ง ทางองค์การยูเนสโกจึงประกาศให้ที่นี่เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1999 เรียกว่าเหมาะสมกับสถานที่อันทรงคุณค่าแห่งนี้เป็นอย่างยิ่ง
สะพานฟ้า อู่หลง ฉงชิ่ง มี “อู่หลง” (Wulong) เป็นเมืองตากอากาศ ที่แวดล้อมไปด้วยขุนเขา ทัศนียภาพสวยงาม อากาศดี และมากไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจ ซึ่งในปัจจุบันนี้ทางการจีนเขากำลังสนับสนุนการท่องเที่ยวในรูปแบบโฮมสเตย์ สำหรับคนไทยที่ไม่สันทัดกับวิถีแบบจีนโดยเฉพาะเรื่องห้องน้ำปราบเซียน พวกเรามีโอกาสแวะไปกินข้าวในร้านอาหารบ้านทุ่ง ที่มีกับข้าวอร่อยๆทำสดรสมือชาวบ้านให้เลือกกิน พร้อมตบท้ายกันด้วยสุราพื้นบ้านให้ร้อนท้องวูบวาบเป็นการอุ่นเครื่องก่อนมุ่งสู่ “สะพานฟ้า” หนึ่งในดินแดนมหัศจรรย์ธรรมชาติของเมืองนี้ ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2007 การไปชมสะพานฟ้า ทางเมืองจีนมีเส้นทางอันน่าทึ่งให้ ได้ตื่นเต้นกับลิฟต์แก้วที่ให้เราดิ่งลึกลงไปในหุบเหวสูงกว่า 80 เมตร จากนั้นก็เป็นเส้นทางเดินเท้าชมทัศนียภาพอันสุดอลังการ
สะพานฟ้า หรือที่บ้างก็เรียกว่า “หลุมฟ้า สะพานสวรรค์” เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกจนกลายเป็นหลุมธรรมชาติขนาดยักษ์ที่เบื้องล่าง โดยมีไฮไลต์อยู่ที่ โรงเตี๊ยมโบราณ และ 3 สะพานฟ้า โรงเตี๊ยมโบราณ เป็นจุดพักระหว่างทางสมัยโบราณ ซึ่งในหลุมหุบเขาแห่งนี้สมัยโบราณถือเป็นเส้นทางลัดจากเสฉวนไปเหอหนาน เมื่อคณะต่างๆ เดินทางมาถึงที่นี่ก็จะมาแวะพักค้างแรมที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ เพราะหากเดินทางต่อไปยามค่ำคืนอาจถูกโจรปล้นดักชิงสินค้า สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทอง
โรงเตี๊ยมโบราณปัจจุบันได้รับการบูรณะใหม่ในรูปแบบเดิม แถมยังโด่งดังขึ้นมาแบบก้าวกระโดดหลังได้รับเลือกเป็นฉากสำคัญทั้งฉากดราม่าและฉากต่อสู้บู๊เลือดสาด ในภาพยนตร์เรื่อง “ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง” (Curse of the Golden Flower) ของยอดผู้กำกับ “จาง อี้ โหมว” ที่มี 3 ดาราชั้นนำมาหักเหลี่ยมเฉือนคมความตายกันนำโดย โจว เหวิน ฟะ, เจย์ โชว์ และดาราสาวสวยในดวงใจ คือ “กง ลี่” ใกล้กับโรงเตี๊ยมโบราณเป็น สะพานฟ้าสะพานแรก คือ “สะพานมังกรฟ้า” ที่มีลักษณะเป็นโพรงทะลุมองคล้ายสะพานขนาดยักษ์เชื่อมสวรรค์กับโลกมนุษย์
เมื่อเดินต่อไปก็ได้พบกับ “สะพานมังกรเขียว” ที่มีหน้าผาแหลมทิ่มแงฟ้า และมีเงาสะท้อนน้ำ ซึ่งคนจีนจินตนาการว่าดูคล้ายดาบของกวนอู จากนั้นเมื่อเดินต่อไปก็จะเป็น ไฮไลท์ลำดับสุดท้าย คือ “สะพานมังกรดำ” ที่เป็นตรอกผาในส่วนที่แคบที่สุดจึงมีความมืดทึบดำตามชื่อสะพาน นอกจากไฮไลต์ทั้ง 4 แล้ว ที่นี่ยังมีน้ำตกสายเล็กไหลลงมา สายน้ำที่ไหลคู่ขนานไป บึงมรกต ละอองน้ำที่เป็นฝอยสวยงามกระเซ็นสายลงมา และทัศนียภาพอันสวยงามแปลกตาของหลุมยุบ ที่มุมมองจะเปลี่ยนไปตามเส้นทาง ชวนให้จินตนาการตามไม่น้อยเลย และนี่ก็คือ เสน่ห์ของ ฉงชิ่ง เมืองที่นอกจากจะมีภาพอันโดดเด่นโฉบเฉี่ยวของมหานครเนรมิตอันทันสมัยในอันดับต้นๆ แห่งแดนมังกรแล้ว ยังเป็นเมืองที่มีสิ่งน่าสนใจทางการท่องเที่ยวที่ทำให้ทัวร์ฉงชิ่ง ครบสมบูรณ์แบบ ทั้งธรรมชาติ ศิลปวัฒนธรรม อันทรงคุณค่าในระดับมรดกโลกที่น่าสนใจไม่น้อยเลย
สนใจทัวร์ฉงชิ่ง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ฉงชิ่ง-สุ้ยหนิง-ล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง.aspx
ขอบคุณข้อมูล และภาพสวยๆจาก www.manager.co.th
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)